Connect with us

สุขภาพ

นอนที่ถูกต้องกี่ชั่วโมงถึงเพียงพอ

Published

on

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้ มีการนอนที่ไม่ถูกต้อง นอนดึก นอนน้อย ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งเสี่ยงต่อการทำให้โรคต่าง ๆ ตามมาได้ ทั้ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งลำไส้ โรควูบ และโรคอื่น ๆ ที่อาจอันตรายถึงชีวิตได้เลย และมีคนเสียชีวิตจากการที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนน้อยมานักต่อนักแล้ว ทั้งจากผลข้างเคียงของการนอนไม่พอ หรือ จากโรคภัยที่ได้กล่าวมาแล้ว 

แล้วการนอนที่ถูกต้องกี่ชั่วโมงถึงเพียงพอ? การนอนที่ถูกต้องตามหลักสากล คือ การนอนให้ครบ วันละ 6 – 8 ชั่วโมง และทางเราได้นำวิธีนอนอย่างไรให้ถูกต้อง เพื่อจะได้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงการเกิดโรคจากการนอนน้อย 

อาบน้ำก่อนนอนทุกครั้ง 

แม้ว่าจะเหนื่อย ง่วง หรือเพลียมากแค่ไหน ก็ควรอาบน้ำก่อนนอน ยิ่งกลับมาจากข้างนอก ยิ่งควรอาบน้ำก่อนนอน เพราะร่างกายของเราเต็มไปด้วยคราบเหงื่อ สิ่งสกปรกต่าง ๆ จากหลากหลายสถานที่ ทั้งฝุ่น ควัน และเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็น การไม่อาบน้ำก่อนนอน นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว จนอาจทำให้นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หลับ ๆ ตื่น ๆ ส่งผลต่อสุขภาพการนอนไม่ดี ยังทำให้เสี่ยงต่อการป่วยได้ง่าย จากสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่สะสมอยู่บนที่นอน และอาจทำให้เกิดกลิ่นตัวรุนแรงจากการหมักหมมคราบเหงื่อไคลเป็นประจำ 

นอนในเวลากลางคืนเท่านั้น 

สำหรับใครที่มักจะนอนกลางคืนไม่หลับ หรือหลับยาก หลับไม่สนิทในเวลากลางคืน ก็ไม่ควรนอนกลางวัน แม้จะง่วงมากเพราะนอนไม่พอก็ตาม แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ไม่ควรนอนกลางวันเกิน 1 ชั่วโมง เพราะหากนอนในช่วงเวลากลางวันตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป ก็จะทำให้ไม่ง่วงเมื่อถึงเวลาเข้านอนในตอนกลางคืน หรือนอนไม่หลับ ทำให้นอนไม่พอ ก็จะวนลูปเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ หรืออาจเข้านอนกลางคืนเร็วขึ้น และนอนหลับยาวนานขึ้น จนทำให้นอนมากเกินพอดี 

นอนให้อยู่ในช่วง 6 – 8 ชั่วโมง / วัน เท่านั้น 

การนอนที่ถูกต้อง นอนที่ดีต่อสุขภาพ คือ นอนไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรมากกว่า 8 ชั่วโมง ในแต่ละวัน เพราะการนอนน้อย หรือนอนมากเกินไป ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และควรนอนให้ตรงเวลา ตื่นให้ตรงเวลา หากทำเช่นนี้สม่ำเสมอ สมองจะสั่งการให้ร่างกายปรับโดยอัตโนมัติ ทำให้เมื่อใกล้ถึงเวลานอน จะรู้สึกง่วงและสามารถหลับได้ง่ายขึ้น โดยควรจะเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม หรือไม่เกิน 10.30 น. และตื่นประมาณ 6 โมงเช้า เพียงเท่านี้ก็ได้นอนหลับเต็มที่ มีความสดชื่นต้อนรับวันใหม่ 

จัดระเบียบ นาฬิกาชีวิต 

ทำกิจวัตรประจำวันให้ตรงเวลา เป็นการจัดระเบียบ นาฬิกาชีวิต ทำให้สมองจดจำ และสั่งการร่างกายให้จดจำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันโดยอัตโนมัติ เช่น หากเข้านอนช่วง 3 ทุ่มเป็นประจำ ก็จะรู้สึกง่วงนอนเมื่อถึงเวลาดังกล่าว เมื่อทุกอย่างมีระเบียบ นาฬิกาชีวิตดี ก็ส่งผลให้มีสุขภาพกายดี สุขภาพจิตแจ่มใส และห่างไกลจากอาการเจ็บป่วย 

ไม่ใช้ยานอนหลับ 

สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง ไม่ควรใช้ยานอนหลับ ยิ่งถ้าเคยต้องพึ่งยานอนหลับมาแล้ว ยิ่งไม่ควรใช้เด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่ออันตรายจากการดื้อยา จนยิ่งทำให้นอนหลับยากยิ่งขึ้น มีความเครียดสะสม และต้องเพิ่มปริมาณยาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เสพติดกับการพึ่งยานอนหลับ หรือในรายที่นอนมากเกินไป ก็ไม่ควรใช้ยาหรือสิ่งกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัว เพราะอาจทำให้มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา ทำให้เกิดอาการหลอน มีปัญหาทางระบบประสาท จนกลายเป็นอาการทางจิตในที่สุด การแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับที่ดีที่สุด คือ การปรับพฤติกรรมการนอนด้วยตนเอง โดยทำดังที่กล่าวมาแล้วในข้อต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ก็จะช่วยให้สามารถนอนหลับได้โดยไม่ต้องพึ่งยา 

หากทำทุกข้อดังนี้แล้วยังคงนอนไม่หลับ และไม่สามารถแก้ปัญหาการนอนหลับยากได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง และได้รับการรักษาที่ถูกวิธีและเหมาะสม ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง และลุกลามจนส่งผลเสียต่อสุขภาพรุนแรง 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

สุขภาพ

ระวัง! หมึกบลูริง สวยอันตราย โดนพิษถึงตาย 

Published

on

หมีกสายวงสีน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง (Blue – ringed Octopus) อยู่ในสายปลาหมึกยักษ์ (Hapalochlaena spp) แต่มีขนาดลำตัวเล็ก จุดเด่นคือลายวงแหวนสีน้ำเงินสะท้อนแสงได้ ซึ่งกระจายอยู่ตามลำตัวและหนวด หมึกบลูริงตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร และหนวดมีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร เคลื่อนที่ด้วยการใช้หนวดเดิน ชอบหลบซ่อนตัวและอาศัยอยู่ตามซอกหินใต้ท้องทะเล สามารถพบได้ในทั้งในทะเลอันดามัน และ ทะเลอ่าวไทย 

ภาพจาก : https://www.forbesadvocate.com.au/story/7570384/can-you-identify-a-potentially-deadly-blue-ringed-octopus/

พิษของหมึกบลูริงร้ายแรงแค่ไหน

หมึกบลูริงเป็นสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก โดยพิษของหมึกบลูริงร้ายแรงกว่างูมีพิษแบบงูเห่าถึง 20 เท่า และรุนแรงกว่างูทะเลอีกด้วย โดยพิษของหมึกบลูริง คือ Maculotoxin (มาคูโลทอกซิน) มีลักษณะคล้ายกับพิษเทโทรโดทอกซิน หรือ Tetrodotoxin เป็นพิษของปลาปักเป้า ออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท ไม่ให้สามารถเคลื่อนไหวได้ ทำให้เหยื่อตายหรือเป็นอัมพาต โดยพิษหมึกบลูริงจะอยู่ที่บริเวณต่อมน้ำลาย (Salivary gland) และพบได้ในปาก หนวด ลำไส้ และต่อมหมึก ดังนั้น การได้รับพิษของหมึกบลูริง เกิดจากการสัมผัส การถูกกัด หรือเผลอกินหมึกบลูริงเข้าไป ต่อให้นำหมึกบลูริงไปผ่านความร้อนหรือปรุงสุก แต่พิษก็ไม่ได้ถูกทำลายหรือสลายไป เพราะพิษหมึกบลูริงสามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ดังน้้น ไม่ควรทานหมึกบลูริงเป็นอาหารเด็ดขาด 

 

เมื่อถูกหมึกบลูริงกัด หรือกินหมึกชนิดเข้าไป เปรียบได้เหมือนกับฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด เพราะพิศจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ผู้ถูกพิษอาจเสียมีอาการแพ้พิษ หรือเสียชีวิตได้ในรายที่รุนแรงภายใน 2-3 นาที ซึ่งเร็วยิ่งกว่าพิษของปลาปักเป้า 

ภาพจาก : https://www.abc.net.au/news/science/2020-12-13/blue-ringed-octopus-bites-and-how-to-avoid-them/12942666

ผู้ที่โดนพิษของหมึกบลูริง มีอาการอย่างไร 

อาการเริ่มแรกของผู้ที่ถูกกัด หรือกินหมึกบลูริงเข้าไป จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า มองเห็นไม่ชัด หรือมองไม่เห็น ปวดศีรษะ ประสาทสัมผัสไม่ทำงาน กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดหรือกลืนน้ำลายไม่ได้ หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน ทำให้ไม่มีอากาศเข้าสู่ปอด จากนั้นจะเป็นอัมพาต และหยุดหายใจเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากได้รับการช่วยเหลือไม่ทัน 

หมึกบลูริงมีพิษร้ายแรง แต่ทำไมจึงมีคนนำมาปรุงเป็นอาหารจำหน่ายจนกลายเป็นข่าว 

ต้องยอมรับว่าตามลักษณะของหมึกบลูริง ที่มีสงแหวนสีน้ำเงินเรืองแสงได้ ประกอบกับขนาดที่เล็ก ทำให้หมึกบลูริง หรือหมึกสายวงน้ำเงิน กลายเป็นที่นิยมของกลุ่มคนผู้ชื่นชอบเลี้ยงปลาสวยงาม รวมไปถึงกลุ่มคนนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ แม้ว่ากรมประมงจะไม่อนุญาตให้นำเข้าหมึกบลูริงเข้าประเทศ แต่ก็ยังมีคนลักลอบนำเข้าเพื่อจำหน่ายหรือเพื่อเลี้ยงดูตามความชอบส่วนตัว อีกทั้งมีหน่วยงานราชการที่เลี้ยงหมึกสกุลนี้ไว้เพื่อการศึกษา จนกระทั่งในต้นปี ค.ศ.2016 ได้พบหมึกบลูริงถูกวางจำหน่ายบนแผงขายอาหารทะเล โดยปะปนมากับหมึกชนิดอื่น ๆ และพบถูกนำมาจำหน่ายในร้านปิ้งย่างที่เพิ่งเป็นข่าวเร็ว ๆ นี้นั่นเอง 

 

รักษาอย่างไรเมื่อได้รับพิษหมึกบลูริง 

ปัจจุบันยังไม่มียารักษา หรือยาต้านพิษหมึกบลูริง หากเผลอกินหรือถูกหมึกบลูริงกัด ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และระหว่างนำตัวส่งแพทย์ อาจใช้วิธีเป่าปาก (หากไม่มีเครื่องช่วยหายใจ) เพื่อนำอากาศเข้าสู่ปอด เพื่อช่วยยื้อเวลาของการขาดออกซิเจน ที่อาจทำให้ผู้ได้รับพิษเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันพิษหมึกบลูริง คือ หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ เพื่อไม่ให้ถูกหมึกบลูริงกัด และห้ามบริโภคอย่างเด็ดขาด โดยก่อนทานอาหารทะเล โดยเฉพาะเมนูปลาหมึก จะต้องสังเกตลักษณะของหมึกให้ดี หากไม่แน่ใจ ก็อย่าไปเสี่ยงเลย รับประทานอาหารชนิดอื่นแทน เพื่อลดโอกาสความเสี่ยงในการได้รับพิษหมึกบลูริงดีกว่าค่ะ 

Continue Reading

สุขภาพ

บอกทริค ใช้โรลออนระงับกลิ่นกายยังไงไม่ให้ทิ้งคราบเหลือง

Published

on

Disgusted young male wearing checkered shirt and glasses smelling wet sweaty armpit after stressful meeting, feeling nauseous, screwing lips. Black man can't stand bad smell. Hyperhidrosis and hygiene

เชื่อว่าหลายคนมีการใช้ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อ รักแร้มีกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นโรลออน สเปรย์ หรือฝงแป้ง ซึ่งล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย และเป็นไอเทมคู่ใจของคนที่มีปัญหากลิ่นตัว เพราะช่วยดับกลิ่นอับตามมุมซอกต่าง ๆ  โดยเฉพาะรักแร้ ช่วยให้หมดกังวลเรื่องกลิ่น เพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้น (more…)

Continue Reading

สุขภาพ

อันตรายจากแสงสีฟ้า (Blue light) ภัยเงียบต่อสุขภาพดวงตา

Published

on

เชื่อว่าหลายคนรู้กันอยู่แล้วว่า แสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถือของเรามีอันตรายต่อดวงตา รวมไปถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่รู้ไหมว่าสารมารถพบแสงสีฟ้าได้จากธรรมชาติด้วยเช่นกัน 

(more…)

Continue Reading

กำลังมาแรง