Connect with us

สุขภาพ

โดนงูเหลือมรัดเอาตัวรอดยังไง พร้อมบอกวิธีช่วยน้องแมวจากการโดนงูรัด  

Published

on

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นงูเหลือม 

งูในประเทศไทย มี 2 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่ งูมีพิษและไม่มีพิษ แต่วิธีแยกให้ออกระหว่างงูพิษกับงูไม่มีพิษ ให้สังเกตที่หัวงู หากหัวเป็นสามเหลี่ยม คาดเดาเลยว่าเป็น งูพิษ แต่ถ้าหัวมนกลม คือ งูไม่มีพิษ ซึ่งงูเหลือมจัดเป็นงูไม่มีพิษ แต่อันตรายของงูเหลือม คือ การใช้วิธีรัดเหยื่อจนขาดอากาศหายใจ หรือรัดเหยื่อจนช็อก หมดสติ แล้วจึงค่อยกินเป็นอาหาร

ลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมของงูเหลือม มีดังนี้ 

งูเหลือม เป็นสัตว์ที่ถูกจัดให้อยู่ในไฟลัมสัตว์เลื้อยคลาน มีแกนสันหลัง ไม่มีพิษ มีปากใหญ่ ฟันแหลมคม ขากรรไกรแข็งแรงมาก หัวสีเหลือง หรือออกน้ำตาล มีเส้นสีดำกลางหัว ลากจากปลายจมูกถึงลำคอและจากหางตาถึงขากรรไกร ม่านตาหดตัวในแนวตั้ง เกล็ดเรียบ ท้องสีขาว ลำตัวมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเทาอมเหลือง มีลายข้าวหลามตัดบนหลังตลอดความยาว ลำตัวมีลายจุดสีขาวประปราย หางยาว เป็นชนิดงูที่ยาวที่สุดในโลก มีขนาดใหญ่ โดยความยาวเฉลี่ยของลำตัว อยู่ที่ประมาณ 3.5 – 6 เมตร เลื้อยช้า แต่เมื่อเจอศัตรูจะดุร้ายและจู่โจมอย่างรวดเร็ว อาศัยนอนตามโพรงดิน โพรงไม้ที่มืด ๆ และเย็น ออกหากินเวลากลางคืน โดยหากินทั้งบนบกและในน้ำ งูเหลือมกินสัตว์แทบทุกชนิด ทั้งหนู นก ไก่ เป็ด สุนัข แมว เก้ง กวาง กระต่าย หรือแม้แต่ตัวเงินตัวทอง และจรเข้ โดยจะใช้วิธีรัดเหยื่อจนขาดอากาศหายใจ แล้วจึงกินด้วยการค่อย ๆ เขมือบเข้าไป เมื่อกินจนอิ่มแล้ว จะอยู่นิ่ง ๆ นาน ๆ อีกหลายวันจึงจะออกหากินอีก

Boa constrictor leopard, isolated on white

โดนงูเหลือมรัด งูเหลือมกัด เอาตัวรอดยังไง 

  1. ตั้งสติ 
  2. ห้ามกระชาก 
  3. ใช้มือจับที่หัวงู กันงูสะบัด 

แม้ว่างูเหลือมจะไม่มีพิษ แต่ถ้าหากไปกระชากงูออกทันที ฟันงูเหลือมที่แหลมคมมาก ๆ จะทำให้เกิดแผลฉกรรจ์! 

 

ต้องทำอย่างไรเมื่องูหลามกัด? 

ควรใช้แอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ฉีดหรือเทลงไปในปากงู งูจะค่อย ๆ คลายปากออก  

แล้วถ้าพลาดโดนงูเหลือมรัดต้องทำยังไง? 

สิ่งที่ต้องทำเมื่อโดนงูรัดขณะที่อยู่คนเดียว คือ พยายามหาหางของงูให้เจอ จากนั้นใช้ทุกส่วนของร่างกาย พยายามค่อย ๆ แกะจากส่วนหางของงู ออกทีละสเต็ป ให้แกะช่วงกลางลำตัว จากนั้นนำใส่กระสอบ โดยนำส่วนหางเข้าไปก่อน ตามด้วยส่วนหัว แล้วรีบรวบปากกระสอบมัดให้เป็นเกลียว หักคอกระสอบ และมัดเชือกให้แน่น แต่เพื่อความปลอดภัย หากไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดงูมาก่อน หรือไม่มีความเชี่ยวชาญพอ ไม่ควรจับงูด้วยตนเอง แต่ควรรีบโทรแจ้ง 1169 หรือ 199 เพื่อขอความช่วยเหลือ 

gray scottish cat in the room on the bed under the sheet. close-up concept for a pet store

แมวโดนงูรัดทำไงดี ต้องช่วยแบบไหน  

แมว เป็นอีกอาหารหลักของงู โดยเฉพาะงูเหลือม และเมื่อแมวเจองู ส่วนใหญ่แมวจะไม่หนี แต่มักจะเข้าไปดูด้วยความสงสัย ทำให้แมวมักตกเป็นเหยื่อของงูได้ง่าย และเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้งูเหลือมชอบเข้าบ้านคน เพื่อเข้าไปล่าแมว ซึ่งเป็นเหยื่ออันโอชะของมัน 

คุณนิก อสรพิษวิทยา หรือ นาย อนิรุธ ชมงาม จากชมรมอสรพิษวิทยา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องงู และการจับงู ได้กล่าวว่า “งูจะจู่โจมด้วยการรัดตัวแมวอย่างรวดเร็ว และรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแมวช็อก และตายในที่สุด หากเราไปเห็นหรือช่วยไม่ทันภายใน 1 นาที อาจช่วยชีวิตแมวไม่ทัน และวิธีช่วยแมวจากการถูกงูรัด คือ ต้องทำให้งูตกใจ ทำให้งูรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม อาจใช้ไม้เคาะ หรือใช้ตีหัวงูแบบรัว ๆ โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงตีมาก แค่ตีให้งูรู้สึกกังวล แล้วงูจะค่อย ๆ คลายที่รัดออก และเลื้อยหนีไป” 

และคุณนิกยังได้เสริมอีกว่า “อีกวิธีหนึ่ง หากเป็นผู้ที่มีประสบการณ์เคยจับงู หรือรู้วิธีในการจับงู คือ คว้าคองูเอาไว้ แล้วนำแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์กรอกใส่ปากงู ไอระเหยของแอลกอฮอล์จะทำให้งูสำลัก และคลายตัวออกจากสิ่งที่มันรัดอยู่ ซึ่งวิธีนี้ คนลงมือต้องมีสติ และทำอย่างรวดเร็ว เพราะมีเวลาน้อยมากในการช่วยชีวิตแมวที่ตกเป็นเหยื่อ 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

บ้านและสวน

คุณสมบัติของสารส้มใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากใช้สารส้มดับกลิ่นเต่า 

Published

on

อากาศร้อน ๆ ในเมืองไทย ทำให้เราหลีกหนีไม่พ้นกับเหงื่อและคราบไคล นอกจากจะกลิ่นเหม็นอับ ยังก่อให้เกิดขึ้ไคลที่เกิดจากหนังกำพร้าของเราผลัดอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เจอเหงื่อเข้าไปอีก กลายเป็นคราบและมีกลิ่นตัว บางคนมีกลิ่นตัวรุนแรง เพราะทั้งเหงื่อทั้งไขมัน เป็นปัญหารบกวนจิตใจและคนรอบข้าง ซึ่ง “สารส้ม” เป็นตัวที่ช่วยทำความสะอาดขึ้ไคลออกจากผิว และยังช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนไทยนิยมใช้ดับกลิ่นกันมาช้านาน 

 

หลายคนอาจเคยได้ยินสรรพคุณสารส้มใช้ดับกลิ่นเต่าและแกว่งน้ำขุ่นให้ใส แต่ที่จริงสารส้มมีประโยชน์มากกว่าที่คิด วันนี้ zblogged มีเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับสารส้ม ประโยชน์และโทษของสารส้มมีอะไรบ้าง สารส้มมีคุณสมบัติอย่างไร ใช้สารส้มทารักแร้ได้ไหม 

 

สารส้ม (ชื่อเคมี Alum) คือ สารทำให้หดตัว Astringent ที่เรียกว่า เกลือเชิงซ้อน ผลึกเกลือของสารประกอบที่มีธาตุอะลูมิเนียมและซัลเฟตเป็นสารประกอบหลัก มีรสฝาดเปรี้ยวไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถละลายน้ำได้ 

ประเภทของสารส้ม 

สารส้มสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. Potassium Alum

สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม เป็นเกลือโพแทสเซียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Potassium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี และอาจพบเป็นผงสีขาวละเอียดได้เช่นกัน 

 

2.Ammonium Alum 

สารส้มชนิดแอมโมเนียม เป็นเกลือแอมโมเนียม อะลูมิเนียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Ammonium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี 

 

สามารถนำสารส้มทั้ง 2 ชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน ทั้งในระบบครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม แต่สารส้มที่นิยมนำไปใช้งานมากที่สุด คือ สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม (Potassium Alum)

 

คนในสมัยโบราณ นอกจากจะนำไปใช้แกว่งน้ำให้ตกตะกอน ยังนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่เป็นแผลตื้น ๆ หรือแผลที่ไม่ลึกมาก โดยการบดให้เป็นผงละเอียดใช้โรยแผล นอกจากนี้ยังมีการนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่ถอนฟัน ด้วยการใช้สารส้ม 1 ส่วน ละลายน้ำเย็น 9 ส่วน หรือ ละลายกับน้ำต้มเดือด 3 ส่วน แล้วใช้อมห้ามเลือดจากการถอนฟัน หรือใช้อมเป็นประจำเพื่อแก้บาดแผลในปาก และป้องกันฟันโยก ฟันคลอน เหงือกร่น

คุณสมบัติของสารส้ม

  • ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอม แพ้น้ำหอม รวมถึงผู้ที่ชอบใช้น้ำหอม เพราะไม่มีกลิ่นไปหักล้างหรือรบกวนกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ 
  • ไม่มีส่วนผสมของครีมและน้ำมัน จึงใช้ได้โดยไม่เปื้อนเสื้อผ้า 
  • ปลอดภัยต่อร่างกาย เพราะสารส้มมีคุณสมบัติเป็นประจุลบ ไม่สามารถซึมผ่านผนังเซลล์ผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้ ไม่เกิดการอุดตันรูขุมขน และไม่ทำลายโอโซน ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม 
  • มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมสภาวะต่ออุณหภูมิห้อง 

 

ประโยชน์ของสารส้ม 

  • ระงับกลิ่นตัว ด้วยการกวนสารส้มในน้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ช่วยระงับกลิ่นตัวได้ 100% นานถึง 24 ชั่วโมง สามารถใช้สารส้มทารักแร้ดับกลิ่นตัวได้เป็นประจำ โดยไม่เกิดอันตราย 
  • เปลี่ยนน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใส โดยการกวนสารส้มในน้ำ สารแขวนลอยต่าง ๆ จะตกตะกอนลงก้น เหลือแต่น้ำใส ๆ ไว้ใช้อุปโภคได้
  • ใช้ดับกลิ่นคาว โดยการกวรสารส้มในน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ไปล้างปลา เนื้อ หรือเครื่องในสัตว์ที่ต้องการดับกลิ่น
  • ใช้ห้ามเลือด ด้วยการป่นหรือบดสารส้มให้เป็นผงละเอียดแล้วละลายน้ำ หรือใช้โรยบนบาดแผลได้เลย ซึ่งจะรู้สึกแสบเล็กน้อย แต่ห้ามเลือดได้ผลดี 
  • ทาแก้ผื่นคันตามผิวหนังจากยุงหรือแมลงกัด และอาการคันระคายเคืองผิวหนังจากสาเหตุอื่น ๆ 
  • ใช้หลังโกนหนวดไม่ให้เกิดการระคายเคือง ช่วยห้ามเลือดและสมานแผลที่เกิดจากการโกนหนวด
  • ทำให้อาเจียนเพื่อถอนพิษ กรณีที่เผลอกินหรือกลืนสารพิษ เช่น กินเห็ดเมา กินยาผิด กลืนสารเคมี กรดหรือด่าง ให้ตำสารส้มละลายน้ำ แล้วดื่มถอนพิษ จะทำให้อาเจียนเอาพิษออกมา 
  • ชุบไส้ตะเกียง ทำให้ไม่มีควัน วิธีคือ ใช้กวนสารส้มในน้ำ แล้วนำไส้ตะเกียงไปชุบ จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง เวลาที่จุดตะเกียงก็จะไม่มีควันรบกวน
  • รักษาถั่วงอกให้กรอบ สด เก็บได้นาน โดยการนำถั่วงอกแช่ลงในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม แล้วค่อยตั้งให้สะเด็ดน้ำ 
  • ดองผักให้กรอบ และช่วยให้อาหารกรอบ โดยเฉพาะผัก ทำง่าย ๆ โดยการนำผักไปแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ก่อนนำผักไปดองหรือปรุงอาหาร 
  • ช่วยให้ข้าวเหนียวมีเมล็ดสวย วิธีทำ น้ำข้าวเหนียวแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเปลี่ยนน้ำแช่ใหม่ เมื่อนำไปนึ่ง ข้าวเหนียวจะเรียงเม็ดสวย น่ารับประทาน นุ่ม และเก็บได้นานขึ้น
  • เก็บรักษาพริกขี้หนูให้สดได้นาน โดยการนำพริกขี้หนูแช่ในน้ำสารส้มสักครู่ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง และเมื่อจะทานจะต้องล้างพริกก่อนทุกครั้ง  
  • กันบูด ใช้สารส้มผสมกับแป้งเปียกเพื่อใช้กันบูดได้ 
  • ใช้ป้องกันและรักษาส้นเท้าแตก 
  • ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ย้อมสีผ้าเพื่อช่วยให้สีติดเส้นใยได้ดีขึ้น อุตสาหกรรมกระดาษ การประปา การบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น 

 

ข้อควรระวังในการใช้สารส้ม 

แม้ว่าสารส้มมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เนื่องจากสารส้มมีสารประกอบเป็นอะลูมิเนียมและซัลเฟต จึงต้องระมัดระวังในการใช้ และเพื่อใช้สารส้มให้ได้ผลอย่างปลอดภัย ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะนำไปใช้ เพราะการใช้สารส้มในบางกรณีอาจเกิดอันตรายได้ เช่น การทานสารส้มอะลัมเพื่อช่วยให้อาเจียนขับสารพิษ แต่ถ้าทานในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ร่างกายดูดซึมอะลูมิเนียมเข้าไปได้ รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ  เช่น อาการคลื่นไส้ หรือ ปวดศีรษะ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย แนะนำว่า ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด รวมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้สารส้มดีที่สุด

 

Continue Reading

บ้านและสวน

7 แนวทางการลดขยะอาหาร ทำง่าย ช่วยลดโลกร้อน 

Published

on

ปัจจุบัน การกำจัดขยะเศษอาหารส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีการฝังกลบ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโลกเราอย่างรุนแรง และเชื่อไหมว่า เราทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมในการทำให้โลกร้อน เกี่ยวอะไรกับขยะอาหาร? เรามีเอี่ยวยังไง? และเราแก้ไขอะไรได้บ้าง มาหาคำตอบกันในบทความนี้กันค่ะ 

 

การเดินทางของขยะอาหาร

เชื่อว่าทุกบ้านย่อมต้องมีการทิ้งขยะทุกประเภท และมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ขยะเศษอาหาร และส่วนใหญ่ก็จะใส่ถุงขยะรวมกัน แล้วนำไปทิ้งไว้ที่จุดพักขยะ หรือถังขยะส่วนกลาง รอให้รถเทศบาลหรือรถเก็บขยะเป็นผู้รับไม้ต่อ นำขยะจากต้นทางไปสู่ปลายทาง เพื่อนำไปกำจัดที่ หลุมฝังกลบ แต่รู้ไหมว่า การทำลายขยะเศษอาหารด้วยการฝังกลบ ส่งผลกระทบต่อโลกเราอย่างร้ายกาจ จนใครหลายคนอาจคิดไม่ถึง เพราะระหว่างกระบวนการย่อยสลายอินทรีย์ขยะเศษอาหาร มีการปล่อยก๊าซมีเทนออกมาจำนวนมหาศาล ซึ่งก๊าซมีเทนเป็นอีกส่วนประกอบของ ก๊าซเรือนกระจก ตัวการที่ทำให้โลกร้อนนั่นเอง แล้วเราจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร 

 

แนวทางการลดขยะเศษอาหารมีอะไรบ้าง 

แนวทางการลดขยะอาหารที่เราทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ ได้แก่ 

  1. วางแผนการซื้ออาหาร ไม่ซื้อมากเกินความจำเป็น

เมื่อจะออกไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบ ของสด และอาหารอื่น ๆ ควรเช็กของที่มีก่อนว่าของอะไรหมด ของอะไรขาด ของอะไรที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง และจดรายการว่าต้องซื้ออะไรบ้าง เพื่อจำกัดปริมาณของที่จะซื้อ นอกจากจะช่วยให้ไม่ต้องซื้อของซ้ำ ลดปัญหาการทิ้งอาหารเพราะกินไม่ทันจนเน่าเสียหรือหมดอายุ ยังช่วยประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น 

 

นอกจากนี้ ลองเปลี่ยนไปช้อปปิ้งเดือนละ 2 ครั้ง แทนการไปจับจ่ายซื้อของทุกสัปดาห์ แล้วซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะของลดราคา ที่อาจเผลอกระหน่ำช้อปไม่ยั้ง เพราะมันอาจไปจบลงที่ถังขยะโดยที่ไม่ทันได้ใช้ หรือใช้ไม่ทัน ก่อให้เกิด food waste ในที่สุด 

  1. ใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า 

กินได้แม้ไม่สวย : ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักเลือกซื้อผักผลไม้ รวมไปถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เพอร์เฟกต์ ร้านค้า และแหล่งจำหน่ายหลายแห่งจึงปฏิเสธผักผลไม้ที่มีตำหนิ และคัดทิ้งให้กลายเป็นกลายขยะเศษอาหารอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่มันสามารถทานได้ปกติ และยังคงมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน แต่กลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นแท่นโชว์โฉมให้เป็นผู้ถูกเลือก 

 

กินได้ทุกส่วน : บางส่วนของผักที่มักจะถูกตัดทิ้ง บางสิ่งยังกินได้ เช่น เปลือก ราก ใบ เมล็ด หากนำไปทำเป็นอาหารที่เหมาะสม ก็จะได้รสอร่อยและมีประโยชน์ แถมไม่ต้องทิ้งให้เป็นขยะอีกด้วย 

 

กินได้ทั้งเปลือก : ผักผลไม้บางชนิดกินได้ทั้งเปลือก และยังมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าที่จะกินเพียงเนื้อในอย่างเดียว เช่น แอปเปิ้ล แตงกวา หัวไชเท้า เป็นต้น 

 

กินได้ใหม่ : เมนูเดิมที่กินเหลือ หรือผักผลไม้ที่สุกงอม อย่าทิ้ง! เพราะสามารถนำมากินได้อีกในเมนูใหม่ ๆ ไม่จำเจ อร่อยได้ไม่ซ้ำ และให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ต่างกัน เช่น กล้วยที่สุกนำไปทำขนม หรือเศษผักเหลือ ๆ นำไปทำจับฉ่าย หรือแกงโฮะ เป็นต้น 

  1. ปรุงอาหารแต่พอดี ทานแต่พออิ่ม 

ควรใช้วัตถุดิบปรุงอาหารในปริมาณที่ทานหมด อะไรที่ไม่กินก็ไม่ควรใส่ลงไป แม่บ้านหรือพ่อครัวควรสอบถามสมาชิกในบ้านว่าใครไม่กินอะไรบ้าง จะได้ไม่ต้องใส่ลงไปปรุงอาหาร รวมไปถึงผักตกแต่งจานเพื่อความสวยงาม เพื่อป้องกันการเขี่ยทิ้งลงถังขยะ รวมไปถึงการตักอาหารแต่พอดี ที่สามารถกินได้แต่พออิ่ม กินได้หมดจาน หากทานอาหารบุฟเฟต์ ก็ควรตักเท่าที่กินหมด ไม่ควรตักเยอะ ๆ เพราะกลัวไม่คุ้ม เพราะสุดท้ายอาจกลายเป็นขยะเพราะทานไม่หมด 

  1. จัดเก็บวัตถุดิบอย่างถูกวิธี 

หลังจากที่ซื้อของทุกอย่างเข้าบ้าน อย่ารีบโยนทุกอย่างเข้าตู้เย็น โดยเฉพาะผักผลไม้ เพราะผักผลไม้บางชนิดจะปล่อยก๊าซเอทิลีนออกมาระหว่างที่เริ่มสุก เช่น กล้วย มะเขือเทศ อะโวคาโด้ แคนตาลูป ฯลฯ ซึ่งก๊าซเอทิลีนจะไปทำให้ผักผลไม้อื่น ๆ อย่าง แอปเปิล เบอร์รี่ต่าง ๆ พริกไทยสด เน่าเสียง่าย จึงต้องทำการแยกผักผลไม้ และวัตถุดิบอื่น ๆ  รวมไปถึงอาหารสด ออกจากกัน ทางที่ดี ควรศึกษาวิธีการเก็บอาหารแต่ละประเภท เพื่อยืดอายุอาหารให้เก็บได้นานขึ้น ไม่เน่าเสียเร็วจนต้องกลายเป็นขยะในที่สุด 

  1. ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง BB / BBE หรือ EXP 

อาหารแห้งและอาหารกระป๋องที่มีการระบุวันหมดอายุ ที่ระบุ “ควรบริโภคก่อน” (BB หรือ BBE ย่อมาจาก Best be for) คือ อาหารที่ยังสามารถบริโภคได้จนถึงวันที่ระบุไว้ ยังไม่หมดอายุ เพียงแต่รสชาติ ความสดใหม่ และคุณค่าอาหารอาจเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แต่สามารถทานได้ปกติโดยไม่เกิดโทษใด ๆ ต่อร่างกาย ต่างจาก อาหารที่ระบุ “วันหมดอายุ” หรือ EXP คือ วันหมดอายุของอาหาร ไม่ควรทานอาหารนั้น ๆ อีก เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ ซึ่งหลายคนมักจะสับสน และเข้าใจผิดว่าอาหารหมดอายุ อาหารเสีย ทำให้ทิ้งอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้ก่อนวันหมดอายุจริง

 

  1. ไม่เทรวม 

การทิ้งขยะในเมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงทิ้งแบบเทรวม ๆ กันใส่ถุง ซึ่ง 65 – 70 % เป็นขยะเศษอาหาร ปนเปื้อนขยะอื่น ๆ จนไม่สามารถแยกไปรีไซเคิลได้ ทำให้ต้องนำไปทำลายด้วยการเผาทิ้ง ก่อให้เกิดมลพิษจำนวนมาก และเปลืองงบประมาณในส่วนของค่ากำจัดขยะในแต่ละปีไม่ใช่น้อย ๆ เลย อีกทั้งยังทำให้เกิดมลภาวะ เป็นแหล่งเพาะพันธ์ุเชื้อโรคต่าง ๆ สกปรก และมีกลิ่นเหม็นเน่า ส่งผลต่อสุขอนามัยของคนในชุมชน แต่ถ้ามีการแยกขยะเศษอาหารออกไป ช่วยให้สามารถแยกขยะรีไซเคิล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อีก เช่น การนำไปรีไซเคิลเป็นพลังงานชีวภาพ แก๊ส น้ำมัน เป็นต้น ส่วนขยะอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ต้องนำไปทำลายทิ้งเท่านั้นจะมีปริมาณน้อยลง การเผาน้อยลง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ค่าแรงถูกลง ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนขยะเศษอาหารที่มีการแยกไว้ต่างหาก สามารถส่งต่อให้เกษตกรนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เช่น นำไปเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม หมักปุ๋ย ทำน้ำหมัก หรือส่งโรงงานแปลงเป็นอาหารสัตว์จำหน่ายต่อไปก็ได้เช่นกัน 

  1. นำเศษอาหารไปหมักทำปุ๋ย (composting)

ปัญหาขยะเศษอาหารหรือขยะเปียก อาจกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว และสร้างความรำคาญใจได้ หากจัดเก็บและกำจัดไม่ดี เพราะ ทั้งกลิ่น แมลง และความสกปรก จะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค จนอาจทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยได้ แต่ก็อยากรักษ์โลก ทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร แต่ไม่สะดวกกับการที่จะมาคอยขุดดิน ทำหลุมฝังกลบ ไม่มีพื้นที่ ไม่อยากเสียเวลากลบ หรือต้องคอยพลิกกอง ยิ่งถ้าอยู่ในหอพัก หรือคอนโด ห้องเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีที่เดิน ยิ่งเป็นไปได้ยาก แล้วต้องทำยังไง? ปัจจุบัน การหมักปุ๋ยด้วยขยะอาหารทำได้ง่ายมาก ๆ จบปัญหาทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคในการรักษ์โลกของคนยุคปัจจุบัน เพียงแค่ใช้เครื่องย่อยเศษอาหารอัตโนมัติ ช่วยให้การหมักปุ๋ยง่ายขึ้น สะดวกสบาย ใช้งานง่าย แค่เปิดฝาเครื่อง เทเศษอาหารลงไปเรื่อย ๆ ไม่เกิน 2 วัน ได้ปุ๋ยทันใช้ ไม่ต้องรอนาน จากขยะเปียกแหยะ ๆ กลายเป็นเศษแห้ง ๆ เทลงดินได้เลย ให้กลายเป็นธาตุอาหารในดิน ต้นไม้พืชพรรณเติบโตดี หรือจะนำไปบำรุงผักริมระเบียง ได้ผักปลอดสารพิษ รสอร่อย มีสุขภาพดีไปอีก เป็นอีกแนวคิด Zero waste ลดขยะให้เป็นศูนย์ เพราะไม่เหลือขยะอาหารให้กำจัดทิ้งนั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม การบริโภคแบบไม่เหลือทิ้งให้เป็นขยะอาหาร คือ วิธีที่ช่วยลดปัญหาขยะล้นโลก และช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกที่ดีที่สุด เพราะเป็นการตัดต้นตอที่ก่อให้เกิดปัญหา ดังนั้น ปัจจัยที่ช่วยกำจัดขยะอาหารได้อย่างยั่งยืนที่สุด คือ การเริ่มลงมือที่ตัวเราเอง

Continue Reading

สุขภาพ

ปัญหาสายตาของเราเหมาะกับวิตามินแบบไหนกันนะ

Published

on

คนในยุคปัจจุบันมีปัญหาสายตาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสายตาได้หลายสาเหตุ ทั้งพันธุกรรม พฤติกรรม และกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ การจ้องโทรศัพท์มือถือ การจ้องหน้าจอในที่มืดหรือแสงสว่างไม่เพียงพอ จนส่งผลกระทบต่อดวงตาและเกิดปัญหาสายตาตามมา 

ปัญหาเกี่ยวกับสายตามีหลากหลายกลุ่มมากขึ้น ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียงอีกต่อไป การดูแลและบำรุงสายตาของแต่ละรูปแบบจึงแตกต่างกันไป วันนี้ zblogged จะมาแนะการเลือกวิตามินบำรุงสายตา ที่เหมาะต่อการดูแลปัญหาเกี่ยวกับสายตาแต่ละกลุ่มมาฝากค่ะ 

  1. วิตามิน A 

วิตามินเอ เหมาะต่อการดูแลปัญหาสายตาของผู้ที่มักจะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ จ้องจอมือถือเป็นเวลานาน ๆ ผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง หรือคนที่ต้องขับรถตอนกลางวันท่ามกลางแสงแดดจ้ามาก ๆ ทำให้มีอาการ eyestrain หรือปวดเมื่อยล้าดวงตาจากปริมาณแสงที่พุ่งเข้าสายตามากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อ retina กระจกตาทำงานหนักในการกรองแสง จึงควรเสริมด้วยวิตามิน A ให้เข้าไปช่วยปรับกระจกตา ให้สามารถกรองแสงได้อย่างเหมาะสม 

  1. วิตามิน B1 และ B12 

เหมาะกับผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะต้อกระจก และผู้ที่ต้องทำงานหน้าเตาความร้อน เช่น เชฟ แม่ครัว คนทำอาหาร เพราะวิตามินบี 1 และ วิตามินบี 12 ช่วยยับยั้งและชะลอการเกิดต้อกระจกได้ สามารถพบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ และนมสด 

  1. วิตามิน B3 หรือ ไนอะซิน (Niacin) 

วิตามิน B3 หรือ ไนอะซิน เหมาะกับผู้ที่มีภาวะต้อหินหรือมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหิน เนื่องจากวิตามินบี 3 มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลาย จนเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินได้

  1. วิตามิน C และ วิตามิน E 

เหมาะกับผู้สูงวัย และผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก เพราะต้อกระจกเกิดจากโปรตีนในตาถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดฝ้าและตาขุ่นมัว วิตามินซีและวิตามินอีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ทำลายโปรตีนในดวงตา จึงช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกในตาได้ 

  1. โอเมก้า 3 (Omega 3)

เหมาะกับผู้ที่ภาวะตาแห้ง  หรือมักมีอาการตาเบลอ ควรทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 กรดไขมันสำคัญในการช่วยสร้างน้ำตา เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยรักษาภาวะตาแห้งได้ 

  1. ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน ( Zeaxanthin) 

เหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง พนักงานขับรถ หรือต้องขับรถตอนกลางวันที่มีแสงแดดจ้าบ่อย ๆ เพราะ ลูทีน และ ซีแซนทีน เป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ช่วยกรองรังสียูวีจากแสงแดด ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดโรคจอตาเสื่อมและโรคต้อกระจก สามารถพบลูทีนและซีแซนทีนได้มากในไข่แดง ผักใบเขียว เช่น คะน้า บรอกโคลี ปวยเล้ง เป็นต้น 

Continue Reading

กำลังมาแรง