Connect with us

เทคโนโลยี

รู้ไว้ก่อนซื้อ! ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

Published

on

รถยนต์ไฟฟ้าหรือ Electric Vehicle (EV) ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีผลต่อการลดการใช้งานของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์โดยส่วนใหญ่

ด้วยความสนใจที่สูงต่อเรื่องนี้ ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาสำรวจข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าแบบสรุปเพื่อให้คุณได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของคุณเอง

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

การชาร์จไฟของรถ EV

การชาร์จไฟของรถ EV

  1. ลดมลพิษและมลภาวะที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิง: รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช้เชื้อเพลิงที่ต้องเผาเพื่อให้เคลื่อนที่ ดังนั้นไม่มีการปล่อยก๊าซเสียจากการเผาเชื้อเพลิงที่เข้าร่วมกับเสียงเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดมลพิษและประสิทธิภาพพลังงานที่เสียไปในกระบวนการเผาเชื้อเพลิง
  2. ลดการอุดตันความดันโลหิตขงผู้คนที่อยู่ในเมือง: รถยนต์ไฟฟ้าไม่สร้างควันดำที่ออกมาจากท่อไอเสีย เชื้อเพลิง หรือน้ำมันเสีย การลดปริมาณควันดำที่สร้างจากการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดการอุดตันความดันโลหิตและประสิทธิภาพการหายใจในเมืองที่คนหลายคนต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
  3. ความเงียบสงบ: รถยนต์ไฟฟ้ามีเครื่องยนต์ที่ทำงานได้อย่างเงียบสงบเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดระดับเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมและช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบและผ่อนคลายมากขึ้น
  4. ต้นทุนการดำเนินการต่ำ: การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนการดำเนินการต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง ราคากำลังไฟฟ้านั้นถูกกว่าราคาน้ำมันหรือดีเซล และมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าเนื่องจากไม่มีอะไหล่ที่ต้องการการบำรุงรักษาอย่างจำเป็น นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์ที่มีการใช้งานและระบบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ง่ายต่อการบำรุงรักษา

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

 

  1. ระยะทางขับขี่จำกัด: ในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ายังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะทางขับขี่ที่สามารถเดินทางได้ก่อนที่จะต้องชาร์จแบตเตอรี่ แม้ว่าเทคโนโลยีในด้านนี้จะก้าวล้ำไปข้างหน้า แต่รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่สามารถเดินทางได้ไกลเท่ากับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน
  2. เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่: รถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าการเติมน้ำมันในรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง นอกจากนี้ การค้นหาสถานที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่สะดวกสบายก็อาจเป็นที่ยุ่งยากบ้างในบางพื้นที่
  3. การผลิตและการกำจัดแบตเตอรี่: การผลิตและการกำจัดแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในขั้นตอนการสร้างและการจัดการของแบตเตอรี่เอง แม้ว่ากำลังมีพัฒนาการในด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่และการใช้งานร่วมกับพลังงานทดแทน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมากที่สุด
  4. ค่าใช้จ่ายสูง: รถยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคยากที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในขณะนี้ นอกจากนี้ ระบบชาร์จแบตเตอรี่ที่ต้องติดตั้งบ้างก็อาจเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม นับถือว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่มีข้อดีมากมายเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบชาร์จเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการใช้งาน ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าอาจเป็นทางเลือกที่ยังคงเติบโตและเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับอนาคตของวงการยานยนต์

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

บ้านและสวน

คุณสมบัติของสารส้มใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากใช้สารส้มดับกลิ่นเต่า 

Published

on

อากาศร้อน ๆ ในเมืองไทย ทำให้เราหลีกหนีไม่พ้นกับเหงื่อและคราบไคล นอกจากจะกลิ่นเหม็นอับ ยังก่อให้เกิดขึ้ไคลที่เกิดจากหนังกำพร้าของเราผลัดอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เจอเหงื่อเข้าไปอีก กลายเป็นคราบและมีกลิ่นตัว บางคนมีกลิ่นตัวรุนแรง เพราะทั้งเหงื่อทั้งไขมัน เป็นปัญหารบกวนจิตใจและคนรอบข้าง ซึ่ง “สารส้ม” เป็นตัวที่ช่วยทำความสะอาดขึ้ไคลออกจากผิว และยังช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนไทยนิยมใช้ดับกลิ่นกันมาช้านาน 

 

หลายคนอาจเคยได้ยินสรรพคุณสารส้มใช้ดับกลิ่นเต่าและแกว่งน้ำขุ่นให้ใส แต่ที่จริงสารส้มมีประโยชน์มากกว่าที่คิด วันนี้ zblogged มีเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับสารส้ม ประโยชน์และโทษของสารส้มมีอะไรบ้าง สารส้มมีคุณสมบัติอย่างไร ใช้สารส้มทารักแร้ได้ไหม 

 

สารส้ม (ชื่อเคมี Alum) คือ สารทำให้หดตัว Astringent ที่เรียกว่า เกลือเชิงซ้อน ผลึกเกลือของสารประกอบที่มีธาตุอะลูมิเนียมและซัลเฟตเป็นสารประกอบหลัก มีรสฝาดเปรี้ยวไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถละลายน้ำได้ 

ประเภทของสารส้ม 

สารส้มสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. Potassium Alum

สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม เป็นเกลือโพแทสเซียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Potassium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี และอาจพบเป็นผงสีขาวละเอียดได้เช่นกัน 

 

2.Ammonium Alum 

สารส้มชนิดแอมโมเนียม เป็นเกลือแอมโมเนียม อะลูมิเนียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Ammonium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี 

 

สามารถนำสารส้มทั้ง 2 ชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน ทั้งในระบบครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม แต่สารส้มที่นิยมนำไปใช้งานมากที่สุด คือ สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม (Potassium Alum)

 

คนในสมัยโบราณ นอกจากจะนำไปใช้แกว่งน้ำให้ตกตะกอน ยังนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่เป็นแผลตื้น ๆ หรือแผลที่ไม่ลึกมาก โดยการบดให้เป็นผงละเอียดใช้โรยแผล นอกจากนี้ยังมีการนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่ถอนฟัน ด้วยการใช้สารส้ม 1 ส่วน ละลายน้ำเย็น 9 ส่วน หรือ ละลายกับน้ำต้มเดือด 3 ส่วน แล้วใช้อมห้ามเลือดจากการถอนฟัน หรือใช้อมเป็นประจำเพื่อแก้บาดแผลในปาก และป้องกันฟันโยก ฟันคลอน เหงือกร่น

คุณสมบัติของสารส้ม

  • ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอม แพ้น้ำหอม รวมถึงผู้ที่ชอบใช้น้ำหอม เพราะไม่มีกลิ่นไปหักล้างหรือรบกวนกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ 
  • ไม่มีส่วนผสมของครีมและน้ำมัน จึงใช้ได้โดยไม่เปื้อนเสื้อผ้า 
  • ปลอดภัยต่อร่างกาย เพราะสารส้มมีคุณสมบัติเป็นประจุลบ ไม่สามารถซึมผ่านผนังเซลล์ผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้ ไม่เกิดการอุดตันรูขุมขน และไม่ทำลายโอโซน ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม 
  • มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมสภาวะต่ออุณหภูมิห้อง 

 

ประโยชน์ของสารส้ม 

  • ระงับกลิ่นตัว ด้วยการกวนสารส้มในน้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ช่วยระงับกลิ่นตัวได้ 100% นานถึง 24 ชั่วโมง สามารถใช้สารส้มทารักแร้ดับกลิ่นตัวได้เป็นประจำ โดยไม่เกิดอันตราย 
  • เปลี่ยนน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใส โดยการกวนสารส้มในน้ำ สารแขวนลอยต่าง ๆ จะตกตะกอนลงก้น เหลือแต่น้ำใส ๆ ไว้ใช้อุปโภคได้
  • ใช้ดับกลิ่นคาว โดยการกวรสารส้มในน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ไปล้างปลา เนื้อ หรือเครื่องในสัตว์ที่ต้องการดับกลิ่น
  • ใช้ห้ามเลือด ด้วยการป่นหรือบดสารส้มให้เป็นผงละเอียดแล้วละลายน้ำ หรือใช้โรยบนบาดแผลได้เลย ซึ่งจะรู้สึกแสบเล็กน้อย แต่ห้ามเลือดได้ผลดี 
  • ทาแก้ผื่นคันตามผิวหนังจากยุงหรือแมลงกัด และอาการคันระคายเคืองผิวหนังจากสาเหตุอื่น ๆ 
  • ใช้หลังโกนหนวดไม่ให้เกิดการระคายเคือง ช่วยห้ามเลือดและสมานแผลที่เกิดจากการโกนหนวด
  • ทำให้อาเจียนเพื่อถอนพิษ กรณีที่เผลอกินหรือกลืนสารพิษ เช่น กินเห็ดเมา กินยาผิด กลืนสารเคมี กรดหรือด่าง ให้ตำสารส้มละลายน้ำ แล้วดื่มถอนพิษ จะทำให้อาเจียนเอาพิษออกมา 
  • ชุบไส้ตะเกียง ทำให้ไม่มีควัน วิธีคือ ใช้กวนสารส้มในน้ำ แล้วนำไส้ตะเกียงไปชุบ จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง เวลาที่จุดตะเกียงก็จะไม่มีควันรบกวน
  • รักษาถั่วงอกให้กรอบ สด เก็บได้นาน โดยการนำถั่วงอกแช่ลงในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม แล้วค่อยตั้งให้สะเด็ดน้ำ 
  • ดองผักให้กรอบ และช่วยให้อาหารกรอบ โดยเฉพาะผัก ทำง่าย ๆ โดยการนำผักไปแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ก่อนนำผักไปดองหรือปรุงอาหาร 
  • ช่วยให้ข้าวเหนียวมีเมล็ดสวย วิธีทำ น้ำข้าวเหนียวแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเปลี่ยนน้ำแช่ใหม่ เมื่อนำไปนึ่ง ข้าวเหนียวจะเรียงเม็ดสวย น่ารับประทาน นุ่ม และเก็บได้นานขึ้น
  • เก็บรักษาพริกขี้หนูให้สดได้นาน โดยการนำพริกขี้หนูแช่ในน้ำสารส้มสักครู่ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง และเมื่อจะทานจะต้องล้างพริกก่อนทุกครั้ง  
  • กันบูด ใช้สารส้มผสมกับแป้งเปียกเพื่อใช้กันบูดได้ 
  • ใช้ป้องกันและรักษาส้นเท้าแตก 
  • ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ย้อมสีผ้าเพื่อช่วยให้สีติดเส้นใยได้ดีขึ้น อุตสาหกรรมกระดาษ การประปา การบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น 

 

ข้อควรระวังในการใช้สารส้ม 

แม้ว่าสารส้มมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เนื่องจากสารส้มมีสารประกอบเป็นอะลูมิเนียมและซัลเฟต จึงต้องระมัดระวังในการใช้ และเพื่อใช้สารส้มให้ได้ผลอย่างปลอดภัย ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะนำไปใช้ เพราะการใช้สารส้มในบางกรณีอาจเกิดอันตรายได้ เช่น การทานสารส้มอะลัมเพื่อช่วยให้อาเจียนขับสารพิษ แต่ถ้าทานในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ร่างกายดูดซึมอะลูมิเนียมเข้าไปได้ รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ  เช่น อาการคลื่นไส้ หรือ ปวดศีรษะ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย แนะนำว่า ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด รวมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้สารส้มดีที่สุด

 

Continue Reading

บ้านและสวน

7 แนวทางการลดขยะอาหาร ทำง่าย ช่วยลดโลกร้อน 

Published

on

ปัจจุบัน การกำจัดขยะเศษอาหารส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีการฝังกลบ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโลกเราอย่างรุนแรง และเชื่อไหมว่า เราทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมในการทำให้โลกร้อน เกี่ยวอะไรกับขยะอาหาร? เรามีเอี่ยวยังไง? และเราแก้ไขอะไรได้บ้าง มาหาคำตอบกันในบทความนี้กันค่ะ 

 

การเดินทางของขยะอาหาร

เชื่อว่าทุกบ้านย่อมต้องมีการทิ้งขยะทุกประเภท และมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ขยะเศษอาหาร และส่วนใหญ่ก็จะใส่ถุงขยะรวมกัน แล้วนำไปทิ้งไว้ที่จุดพักขยะ หรือถังขยะส่วนกลาง รอให้รถเทศบาลหรือรถเก็บขยะเป็นผู้รับไม้ต่อ นำขยะจากต้นทางไปสู่ปลายทาง เพื่อนำไปกำจัดที่ หลุมฝังกลบ แต่รู้ไหมว่า การทำลายขยะเศษอาหารด้วยการฝังกลบ ส่งผลกระทบต่อโลกเราอย่างร้ายกาจ จนใครหลายคนอาจคิดไม่ถึง เพราะระหว่างกระบวนการย่อยสลายอินทรีย์ขยะเศษอาหาร มีการปล่อยก๊าซมีเทนออกมาจำนวนมหาศาล ซึ่งก๊าซมีเทนเป็นอีกส่วนประกอบของ ก๊าซเรือนกระจก ตัวการที่ทำให้โลกร้อนนั่นเอง แล้วเราจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร 

 

แนวทางการลดขยะเศษอาหารมีอะไรบ้าง 

แนวทางการลดขยะอาหารที่เราทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ ได้แก่ 

  1. วางแผนการซื้ออาหาร ไม่ซื้อมากเกินความจำเป็น

เมื่อจะออกไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบ ของสด และอาหารอื่น ๆ ควรเช็กของที่มีก่อนว่าของอะไรหมด ของอะไรขาด ของอะไรที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง และจดรายการว่าต้องซื้ออะไรบ้าง เพื่อจำกัดปริมาณของที่จะซื้อ นอกจากจะช่วยให้ไม่ต้องซื้อของซ้ำ ลดปัญหาการทิ้งอาหารเพราะกินไม่ทันจนเน่าเสียหรือหมดอายุ ยังช่วยประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น 

 

นอกจากนี้ ลองเปลี่ยนไปช้อปปิ้งเดือนละ 2 ครั้ง แทนการไปจับจ่ายซื้อของทุกสัปดาห์ แล้วซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะของลดราคา ที่อาจเผลอกระหน่ำช้อปไม่ยั้ง เพราะมันอาจไปจบลงที่ถังขยะโดยที่ไม่ทันได้ใช้ หรือใช้ไม่ทัน ก่อให้เกิด food waste ในที่สุด 

  1. ใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า 

กินได้แม้ไม่สวย : ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักเลือกซื้อผักผลไม้ รวมไปถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เพอร์เฟกต์ ร้านค้า และแหล่งจำหน่ายหลายแห่งจึงปฏิเสธผักผลไม้ที่มีตำหนิ และคัดทิ้งให้กลายเป็นกลายขยะเศษอาหารอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่มันสามารถทานได้ปกติ และยังคงมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน แต่กลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นแท่นโชว์โฉมให้เป็นผู้ถูกเลือก 

 

กินได้ทุกส่วน : บางส่วนของผักที่มักจะถูกตัดทิ้ง บางสิ่งยังกินได้ เช่น เปลือก ราก ใบ เมล็ด หากนำไปทำเป็นอาหารที่เหมาะสม ก็จะได้รสอร่อยและมีประโยชน์ แถมไม่ต้องทิ้งให้เป็นขยะอีกด้วย 

 

กินได้ทั้งเปลือก : ผักผลไม้บางชนิดกินได้ทั้งเปลือก และยังมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าที่จะกินเพียงเนื้อในอย่างเดียว เช่น แอปเปิ้ล แตงกวา หัวไชเท้า เป็นต้น 

 

กินได้ใหม่ : เมนูเดิมที่กินเหลือ หรือผักผลไม้ที่สุกงอม อย่าทิ้ง! เพราะสามารถนำมากินได้อีกในเมนูใหม่ ๆ ไม่จำเจ อร่อยได้ไม่ซ้ำ และให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ต่างกัน เช่น กล้วยที่สุกนำไปทำขนม หรือเศษผักเหลือ ๆ นำไปทำจับฉ่าย หรือแกงโฮะ เป็นต้น 

  1. ปรุงอาหารแต่พอดี ทานแต่พออิ่ม 

ควรใช้วัตถุดิบปรุงอาหารในปริมาณที่ทานหมด อะไรที่ไม่กินก็ไม่ควรใส่ลงไป แม่บ้านหรือพ่อครัวควรสอบถามสมาชิกในบ้านว่าใครไม่กินอะไรบ้าง จะได้ไม่ต้องใส่ลงไปปรุงอาหาร รวมไปถึงผักตกแต่งจานเพื่อความสวยงาม เพื่อป้องกันการเขี่ยทิ้งลงถังขยะ รวมไปถึงการตักอาหารแต่พอดี ที่สามารถกินได้แต่พออิ่ม กินได้หมดจาน หากทานอาหารบุฟเฟต์ ก็ควรตักเท่าที่กินหมด ไม่ควรตักเยอะ ๆ เพราะกลัวไม่คุ้ม เพราะสุดท้ายอาจกลายเป็นขยะเพราะทานไม่หมด 

  1. จัดเก็บวัตถุดิบอย่างถูกวิธี 

หลังจากที่ซื้อของทุกอย่างเข้าบ้าน อย่ารีบโยนทุกอย่างเข้าตู้เย็น โดยเฉพาะผักผลไม้ เพราะผักผลไม้บางชนิดจะปล่อยก๊าซเอทิลีนออกมาระหว่างที่เริ่มสุก เช่น กล้วย มะเขือเทศ อะโวคาโด้ แคนตาลูป ฯลฯ ซึ่งก๊าซเอทิลีนจะไปทำให้ผักผลไม้อื่น ๆ อย่าง แอปเปิล เบอร์รี่ต่าง ๆ พริกไทยสด เน่าเสียง่าย จึงต้องทำการแยกผักผลไม้ และวัตถุดิบอื่น ๆ  รวมไปถึงอาหารสด ออกจากกัน ทางที่ดี ควรศึกษาวิธีการเก็บอาหารแต่ละประเภท เพื่อยืดอายุอาหารให้เก็บได้นานขึ้น ไม่เน่าเสียเร็วจนต้องกลายเป็นขยะในที่สุด 

  1. ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง BB / BBE หรือ EXP 

อาหารแห้งและอาหารกระป๋องที่มีการระบุวันหมดอายุ ที่ระบุ “ควรบริโภคก่อน” (BB หรือ BBE ย่อมาจาก Best be for) คือ อาหารที่ยังสามารถบริโภคได้จนถึงวันที่ระบุไว้ ยังไม่หมดอายุ เพียงแต่รสชาติ ความสดใหม่ และคุณค่าอาหารอาจเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แต่สามารถทานได้ปกติโดยไม่เกิดโทษใด ๆ ต่อร่างกาย ต่างจาก อาหารที่ระบุ “วันหมดอายุ” หรือ EXP คือ วันหมดอายุของอาหาร ไม่ควรทานอาหารนั้น ๆ อีก เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ ซึ่งหลายคนมักจะสับสน และเข้าใจผิดว่าอาหารหมดอายุ อาหารเสีย ทำให้ทิ้งอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้ก่อนวันหมดอายุจริง

 

  1. ไม่เทรวม 

การทิ้งขยะในเมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงทิ้งแบบเทรวม ๆ กันใส่ถุง ซึ่ง 65 – 70 % เป็นขยะเศษอาหาร ปนเปื้อนขยะอื่น ๆ จนไม่สามารถแยกไปรีไซเคิลได้ ทำให้ต้องนำไปทำลายด้วยการเผาทิ้ง ก่อให้เกิดมลพิษจำนวนมาก และเปลืองงบประมาณในส่วนของค่ากำจัดขยะในแต่ละปีไม่ใช่น้อย ๆ เลย อีกทั้งยังทำให้เกิดมลภาวะ เป็นแหล่งเพาะพันธ์ุเชื้อโรคต่าง ๆ สกปรก และมีกลิ่นเหม็นเน่า ส่งผลต่อสุขอนามัยของคนในชุมชน แต่ถ้ามีการแยกขยะเศษอาหารออกไป ช่วยให้สามารถแยกขยะรีไซเคิล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อีก เช่น การนำไปรีไซเคิลเป็นพลังงานชีวภาพ แก๊ส น้ำมัน เป็นต้น ส่วนขยะอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ต้องนำไปทำลายทิ้งเท่านั้นจะมีปริมาณน้อยลง การเผาน้อยลง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ค่าแรงถูกลง ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนขยะเศษอาหารที่มีการแยกไว้ต่างหาก สามารถส่งต่อให้เกษตกรนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เช่น นำไปเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม หมักปุ๋ย ทำน้ำหมัก หรือส่งโรงงานแปลงเป็นอาหารสัตว์จำหน่ายต่อไปก็ได้เช่นกัน 

  1. นำเศษอาหารไปหมักทำปุ๋ย (composting)

ปัญหาขยะเศษอาหารหรือขยะเปียก อาจกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว และสร้างความรำคาญใจได้ หากจัดเก็บและกำจัดไม่ดี เพราะ ทั้งกลิ่น แมลง และความสกปรก จะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค จนอาจทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยได้ แต่ก็อยากรักษ์โลก ทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร แต่ไม่สะดวกกับการที่จะมาคอยขุดดิน ทำหลุมฝังกลบ ไม่มีพื้นที่ ไม่อยากเสียเวลากลบ หรือต้องคอยพลิกกอง ยิ่งถ้าอยู่ในหอพัก หรือคอนโด ห้องเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีที่เดิน ยิ่งเป็นไปได้ยาก แล้วต้องทำยังไง? ปัจจุบัน การหมักปุ๋ยด้วยขยะอาหารทำได้ง่ายมาก ๆ จบปัญหาทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคในการรักษ์โลกของคนยุคปัจจุบัน เพียงแค่ใช้เครื่องย่อยเศษอาหารอัตโนมัติ ช่วยให้การหมักปุ๋ยง่ายขึ้น สะดวกสบาย ใช้งานง่าย แค่เปิดฝาเครื่อง เทเศษอาหารลงไปเรื่อย ๆ ไม่เกิน 2 วัน ได้ปุ๋ยทันใช้ ไม่ต้องรอนาน จากขยะเปียกแหยะ ๆ กลายเป็นเศษแห้ง ๆ เทลงดินได้เลย ให้กลายเป็นธาตุอาหารในดิน ต้นไม้พืชพรรณเติบโตดี หรือจะนำไปบำรุงผักริมระเบียง ได้ผักปลอดสารพิษ รสอร่อย มีสุขภาพดีไปอีก เป็นอีกแนวคิด Zero waste ลดขยะให้เป็นศูนย์ เพราะไม่เหลือขยะอาหารให้กำจัดทิ้งนั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม การบริโภคแบบไม่เหลือทิ้งให้เป็นขยะอาหาร คือ วิธีที่ช่วยลดปัญหาขยะล้นโลก และช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกที่ดีที่สุด เพราะเป็นการตัดต้นตอที่ก่อให้เกิดปัญหา ดังนั้น ปัจจัยที่ช่วยกำจัดขยะอาหารได้อย่างยั่งยืนที่สุด คือ การเริ่มลงมือที่ตัวเราเอง

Continue Reading

กฎหมาย

5 ไอเทมติดรถยนต์ที่ควรพกไว้เสมอมีอะไรบ้าง

Published

on

สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ ส่วนใหญ่มักจะมีไอเทมต่าง ๆ  ติดรถไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้รถ หรือเมื่อต้องเดินทาง ซึ่งผู้ขับขี่แต่ละคนก็อาจจะมีไอเทมที่พกติดรถไว้แตกต่างกันไป แต่มี 5 ไอเทมสำคัญที่ผู้ใช้รถทุกคนจำเป็นต้องมีติดรถไว้เสมอ เผื่อต้องใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 

  1. กรมธรรม์ประกันภัย และ พ.ร.บ.รถยนต์ 

รถที่ทำประกันภัยไว้ ควรเก็บกรมธรรม์ และเอกสาร พ.ร.บ. ไว้ในรถเสมอ (และควรถ่ายเอกสารเก็บไว้ เผื่อในกรณีสูญหาย) เนื่องจากมีเอกสารและข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวรถ เช่น หมายเลขกรมธรรม์ วันหมดอายุกรรมธรรม์ เอกสารชนแล้วแยก และอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นข้อมูลที่จำเป็นในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเคลมประกันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

  1. สำเนาคู่มือจดทะเบียนรถ 

สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ หรือ ใบคู่มือจดทะเบียนรถ เป็นอีกเอกสารสำคัญที่ต้องมีติดรถไว้ เผื่อในกรณีถูกพนักงานเรียกตรวจสอบ เอกสารนี้จะช่วยแสดงตน เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของรถ แต่ควรเก็บใบสำเนาไว้ในรถ ห้ามเก็บคู่มือจดทะเบียนรถตัวจริงไว้ในรถเด็ดขาด เพราะหากเกิดโชคร้ายรถสูญหาย คนขโมยรถจะสามารถนำสมุดจดทะเบียนไปใช้ในทางผิดกฏหมายได้ 

  1. ยางอะไหล่และชุดเครื่องมือ 

ควรมียางอะไหล่และชุดเครื่องมือเปลี่ยนยางติดรถไว้เสมอ เผื่อในกรณียางแบน ยางรั่ว หรือยางรถแตก จะได้มีอะไหล่เปลี่ยนได้สะดวก และควรตรวจสอบความพร้อมการใช้งานของยางอะไหล่เป็นประจำ โดยระดับแรงดันลมยางอะไหล่ควรอยู่ที่ ประมาณ 40 ปอนด์ / PSI (ตารางนิ้ว)  

  1. หนังสือคู่มือ และ สมุดบำรุงรักษารถ 

หนังสือคู่มือประจำรถ รวมถึงสมุดบำรุงรักษา ควรเก็บติดไว้ในรถเสมอ โดยคนขับรถส่วนใหญ่มักจะเก็บหนังสือคู่มือรถไว้ในกล่องเก็บของใต้คอนโซลรถ เพื่อความสะดวกในการใช้ เมื่อเกิดข้อสงสัยหรือต้องการรู้ข้อมูล และรายละเอียดของรถ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้โดยไม่คาดคิด 

  1. ของใช้จิปาถะ

ของใช้จิปาถะในนที่นี้ มีตั้งแต่ สายลากจูง สายพ่วงแบตเตอรี่ เสื้อกั๊กสะท้อนแสง ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ชุดปฐมพยาบาล ร่ม เสื้อกันฝน ผ้าเช็ดไฟเบอร์ น้ำดื่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรมีติดรถไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ส่วนของใช้จิปาถะอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งานของแต่ละคน เช่น ทิชชู่แห้ง ทิชชู่เปียก ลูกอม เป็นต้น 

 

นอกเหนือจากนี้ ไอเทมอื่น ๆ ที่จำเป็นอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสะดวกหรือความต้องการใช้ แต่ทั้ง 5 ข้อที่นำมาฝากในวันนี้ ถือว่าเป็นไอเทมที่ผู้ขับรถควรมีติดไว้ในรถเสมอ

Continue Reading

กำลังมาแรง