Connect with us

ไลฟ์สไตล์

ข้อห้ามและข้อควรทำในเทศกาลกินเจมีอะไรบ้าง

Published

on

ใกล้เทศกาลกินเจเข้ามาทุกที โดยปีนี้ เทศกาลกินเจ 2566 ตรงกับวันที่ 15 – 23 ตุลาคม ซึ่งตามปฏิทินจีนจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ – 9 ค่ำ เดือน 9 แต่ตามปฏิทินสากล จะตรงกับเดือน 11 หรือ ตรงกับเดือนตุลาคมของไทย โดยมีระยะเวลาทั้งหมด 9 วันด้วยกัน แต่มีผู้กินเจหลายคนอาจมีการล้างท้องก่อนวันเทศกาลกินเจจริง 1 วัน โดยเริ่มล้างท้องตั้งแต่ตอนเย็น อย่างในปีนี้ การล้างท้องก็อาจจะเริ่มตอนเย็นในวันที่ 14 ตุลาคม ทำให้บางคนกินเจ 10 วัน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ล้างท้องก็กินเจ 9 วัน นั่นเอง เรามาดูกันว่า คนกินเจห้ามกินอะไรบ้าง และเตรียมตัวอย่างไรในเทศกาลกินเจ

Woman putting food on Chinese New Year celebration table, view from above

กินเจห้ามกินอะไร และข้อควรทำสำหรับคนกินเจ 

  1. ห้ามกินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสม ส่วนประกอบ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งจากสัตว์ เช่น ไข่ เลือด ไขมันสัตว์ นม เนย น้ำผึ้ง เป็นต้น 

 

  1. ห้ามกินผักกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง โดยผักกลิ่นฉุน 5 ชนิดที่คนกินเจห้ามกิน ได้แก่ 
  • กระเทียม
  • ผักตระกูลหัวหอม หอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอม 
  • หลักเกียว
  • กุ้ยช่าย
  • ใบยาสูบ

 

  1. ห้ามกินอาหารรสจัด ทั้งรสเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด หรือ เปรี้ยวจัด เพราะอาหารรสจัดจะไปกระตุ้นต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานหนักขึ้น เป็นการเบียดเบียนร่างกาย และส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้รู้สึกไม่สงบ 

 

  1. ห้ามกินอาหารจากคนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจ เพราะคนที่ไม่ได้กินเจ อาจไม่รู้ข้อระเบียบที่เคร่งครัด อาจใช้วัสดุอุปกรณ์ปรุงอาหาร หรือเผลอใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปรุงอาหาร ดังนั้น คนที่กินเจควรไปกินอาหารในสถานที่ ๆ จัดไว้สำหรับอาหารเจโดยเฉพาะ เพราะผู้ปรุงอาหารจะเป็นผู้ที่ถือศีลกินเจด้วยเช่นกัน เช่น โรงทาน หรือ ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่จัดงาน เป็นต้น 

 

  1. ห้ามใช้อุปกรณ์ปรุงอาหาร และวัสดุใส่อาหารปนกับผู้ที่ไม่กินเจ

 

  1. ไม่ฆ่าสัตว์ รังแกหรือทำร้ายสัตว์ทุกรูปแบบ 

 

  1. รักษาศีล 5 หรือ ศีล 8 เพื่อให้ร่างกายและจิตใจสะอาด ถึงพร้อมด้วยการทำบุญ

 

  1. แต่งกายสะอาด สุภาพ โดยแต่งกายด้วยชุดขาวดีที่สุด 

 

  1. ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดยุยง ส่อเสียด ห้ามพูดจาเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสาระ 

 

  1. ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา ในช่วงตลอดระยะเวลาที่กินเจ 9 วัน หรือ 10 วัน 

 

  1. ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง ในสถานที่ศาลเจ้า โรงทาน โรงเจ หรือสถานที่ที่จัดงานถือศีลกินเจ โดยจะมีผู้เฝ้าตะเกียงทั้ง 9 ดวงตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ให้ตะเกียงดับ 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

สุขภาพ

โยคะ (Yoga) สำหรับมือใหม่: ข้อดี ข้อเสีย และวิธีเตรียมตัวให้ปลอดภัย

บทความนี้จะช่วยตอบคำถามเหล่านั้น พร้อมทั้งแนะนำวิธีเตรียมตัวก่อนเริ่มต้นฝึกโยคะ เพื่อให้คุณสามารถเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

Published

on

Portrait of group of people practicing yoga at home. Utthita hasta padangushtasana pose.

ในปัจจุบัน “โยคะ” กลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยฝึกโยคะมาก่อน อาจมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เช่น โยคะคืออะไร? เหมาะกับใคร? มีข้อดีอะไรบ้าง? แล้วมีข้อเสียหรือข้อควรระวังอะไรหรือไม่?

บทความนี้จะช่วยตอบคำถามเหล่านั้น พร้อมทั้งแนะนำวิธีเตรียมตัวก่อนเริ่มต้นฝึกโยคะ เพื่อให้คุณสามารถเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

โยคะ (Yoga) คืออะไร?

โยคะ (Yoga) เป็นศาสตร์โบราณจากประเทศอินเดียที่มีประวัตินับพันปี โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โยคะไม่ได้เป็นเพียงการออกกำลังกายทั่วไป แต่ยังรวมถึงการฝึกสมาธิ การควบคุมลมหายใจ และการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ

องค์ประกอบหลักของโยคะมี 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

  1. อาสนะ (Asana) – ท่าทางทางกายภาพที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแรง

  2. ปราณายามะ (Pranayama) – การฝึกลมหายใจอย่างมีจังหวะและควบคุม เพื่อเพิ่มพลังงานชีวิต (prana)

  3. ธยานะ (Dhyana) – การทำสมาธิเพื่อฝึกจิตใจให้สงบและมีสติ

การฝึกโยคะเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น แข็งแรง จิตใจสงบ และสามารถรับมือกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

Yoga at park, group of mixed age women doing pose while sunset

ข้อดีของการฝึกโยคะ

1. เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย

หนึ่งในข้อดีที่เด่นชัดที่สุดของโยคะคือการช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นจากร่างกายที่ตึงหรือแข็ง การฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลดการตึงเครียดของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

2. พัฒนาการหายใจและสมาธิ

โยคะสอนให้ผู้ฝึกหายใจอย่างมีสติ ฝึกการสังเกตลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นพื้นฐานของการฝึกสมาธิ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียด และทำให้มีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือความสงบในใจ และการจัดการกับความคิดลบหรือความเครียดได้ดียิ่งขึ้น

3. เสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง

แม้ว่าโยคะจะไม่ใช่การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้านหรือเวทเทรนนิ่ง แต่หลายท่าในโยคะสามารถช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core muscle) เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง และสะโพก ซึ่งสำคัญต่อการทรงตัวและการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ

4. ลดอาการปวดเมื่อยและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

คนที่นั่งทำงานนาน ๆ หรือใช้คอมพิวเตอร์ตลอดวัน มักมีปัญหาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ โยคะสามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึง และลดอาการปวดเรื้อรังได้ โดยเฉพาะเมื่อฝึกท่าโยคะที่เน้นการยืดกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว

5. ปรับสมดุลฮอร์โมนและการนอนหลับ

โยคะส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการนอนไม่หลับ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระยะยาว

6. ประหยัดและฝึกง่ายที่บ้าน

โยคะไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย มือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยเสื่อโยคะเพียงผืนเดียว และเลือกฝึกจากคลิปวิดีโอออนไลน์ หรือเรียนผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ ก็ได้ ทำให้สะดวกและประหยัดเงิน

Woman standing on head in yoga position

ข้อเสียและข้อควรระวังของการฝึกโยคะ

แม้โยคะจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่มือใหม่ควรรู้และระมัดระวัง ได้แก่:

1. เสี่ยงบาดเจ็บหากทำท่าผิด

การฝึกโยคะที่ไม่มีครูผู้ชำนาญคอยแนะนำ อาจทำให้มือใหม่ทำท่าทางผิด โดยเฉพาะท่าที่ต้องมีการทรงตัว หรือยืดกล้ามเนื้ออย่างมาก หากฝืนร่างกายเกินไป อาจเกิดการบาดเจ็บ เช่น กล้ามเนื้อฉีก ข้อต่อเคล็ด หรือเส้นประสาทถูกกดทับ

วิธีป้องกัน: เริ่มจากท่าเบื้องต้น ฝึกอย่างช้า ๆ หมั่นฟังสัญญาณจากร่างกาย และควรมีครูฝึกที่เชี่ยวชาญดูแลในช่วงเริ่มต้น

2. ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ

ผลลัพธ์จากการฝึกโยคะไม่ได้เกิดขึ้นทันที ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการฝึก หากฝึกไม่ต่อเนื่อง อาจไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกท้อถอย

คำแนะนำ: กำหนดเวลาฝึกให้ชัดเจน เช่น วันละ 15–30 นาที เริ่มจากน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อร่างกายพร้อม

3. ไม่เหมาะสำหรับบางภาวะสุขภาพ

ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน โรคข้อเสื่อม ความดันโลหิตสูง หรือหญิงตั้งครรภ์ในบางไตรมาส อาจต้องหลีกเลี่ยงท่าโยคะบางประเภท

ทางแก้: ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มฝึก และเลือกคลาสโยคะที่เหมาะกับสภาพร่างกาย เช่น โยคะสำหรับผู้สูงอายุ หรือโยคะบำบัด

4. อาจรู้สึกเบื่อหรือหลับในช่วงฝึก

การฝึกโยคะบางแนว (เช่น Yin Yoga หรือ Hatha Yoga) มีลักษณะช้าและสงบ ทำให้มือใหม่ที่เคยชินกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออาจรู้สึกเบื่อหน่าย หรือรู้สึกง่วงในช่วงฝึก

ข้อแนะนำ: ลองเปลี่ยนแนวโยคะ เช่น Vinyasa หรือ Power Yoga ที่เน้นความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพื่อความกระฉับกระเฉงมากขึ้น

5. ต้องการพื้นที่เงียบสงบ

โยคะต้องอาศัยสมาธิในการฝึก หากอยู่ในบ้านที่เสียงดังหรือมีสิ่งรบกวนอาจทำให้ฝึกไม่เต็มที่

ข้อแนะนำ: จัดมุมฝึกโยคะในบ้านที่เงียบ หรือเลือกฝึกในช่วงเวลาที่บ้านสงบ เช่น ตอนเช้าตรู่ หรือก่อนนอน

วิธีเตรียมตัวสำหรับมือใหม่ก่อนเริ่มฝึกโยคะ

เพื่อให้การฝึกโยคะเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผล มือใหม่ควรเตรียมตัวดังนี้:

  • เลือกเสื่อโยคะคุณภาพดี ที่กันลื่นและมีความหนาพอประมาณ

  • สวมเสื้อผ้าที่ยืดหยุ่นและสบาย เพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวก

  • ฝึกขณะท้องว่าง หรือหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมง

  • เริ่มจากท่าโยคะเบื้องต้น เช่น Cat-Cow, Child’s Pose, Downward Dog

  • เน้นการหายใจให้ถูกต้อง ไม่กลั้นหายใจขณะฝึก

  • พักทันทีเมื่อรู้สึกเจ็บ อย่าฝืนหรือเปรียบเทียบกับผู้อื่น

โยคะคือการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เหมาะกับทุกคน

แม้ว่าโยคะจะมีข้อเสียบางประการ แต่หากฝึกอย่างมีสติ ฝึกอย่างถูกวิธี และค่อย ๆ พัฒนาตามความสามารถของร่างกาย โยคะจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

การฝึกโยคะไม่ใช่เรื่องของความยากง่าย แต่เป็นเรื่องของความตั้งใจและการยอมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขอเพียงแค่คุณเริ่มต้น และฝึกอย่างต่อเนื่อง คุณจะพบกับการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในร่างกายและจิตใจที่ยั่งยืนอย่างแน่นอน

Continue Reading

ไลฟ์สไตล์

วัฒนธรรม “โว้ค” คืออะไร? ทำไมคนถึงต่อต้าน?

จริง ๆ แล้ว วัฒนธรรม “โว้ค” หมายถึงอะไรกันแน่ และทำไมถึงมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านอย่างมากมาย? วันนี้เราจะพาไปดูกัน

Published

on

Protestors With Placards On Black Lives Matter Demonstration March Against Racism

ในยุคปัจจุบัน คำว่า “โว้ค” (Woke) ได้กลายเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งและหลากหลาย บางคนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการตื่นตัวในประเด็นทางสังคม ขณะที่อีกหลายคนกลับมองว่าเป็นเครื่องมือที่สร้างความขัดแย้งในสังคม แต่จริง ๆ แล้ว วัฒนธรรม “โว้ค” หมายถึงอะไรกันแน่ และทำไมถึงมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านอย่างมากมาย? บทความนี้จะพาไปสำรวจความหมายของคำว่า “โว้ค” ต้นกำเนิด และเหตุผลที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์

ความหมายและต้นกำเนิดของ “โว้ค”

คำว่า “โว้ค” มีต้นกำเนิดจากภาษาอังกฤษที่แปลว่า “ตื่น” หรือ “ตระหนัก” ในช่วงทศวรรษ 1940 คำนี้เริ่มใช้ในหมู่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันเพื่อแสดงถึงการตื่นตัวในเรื่องความอยุติธรรมทางสังคม โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 “โว้ค” ได้ขยายความหมายออกไปครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิทธิของชุมชน LGBTQ+ และอื่น ๆ

ในปัจจุบัน “โว้ค” ไม่ได้เป็นเพียงคำศัพท์ แต่กลายเป็นแนวคิดหรือวัฒนธรรมที่สนับสนุนการตระหนักรู้ในปัญหาสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรม โดยผู้ที่สนับสนุนวัฒนธรรมนี้มักจะมองว่าการเป็น “โว้ค” คือการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม

Carefree large group of multiracial young adult standing outdoors and posing

เหตุใดผู้คนถึงต่อต้านวัฒนธรรม “โว้ค”?

แม้ว่าหลักการของ “โว้ค” จะมุ่งเน้นไปที่ความยุติธรรมและความเท่าเทียม แต่กลับมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านวัฒนธรรมนี้ ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น:

  1. การถูกมองว่าเป็นการบังคับทางความคิด: หลายคนรู้สึกว่าวัฒนธรรม “โว้ค” มักบังคับให้ผู้คนต้องยอมรับแนวคิดบางอย่าง แม้กระทั่งในกรณีที่ความคิดเห็นเหล่านั้นขัดกับความเชื่อหรือค่านิยมของตนเอง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ “โว้ค” อาจถูกมองว่าเป็น “คนล้าหลัง” หรือ “ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ” ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกถูกกดดัน
  2. ความเกินเลยของCancel Culture: วัฒนธรรม “โว้ค” มักถูกเชื่อมโยงกับแนวคิดการแบนสิ่งหนึ่งๆ หรือ Cancel Culture ซึ่งเป็นการโจมตีหรือแบนบุคคลที่แสดงออกหรือกระทำสิ่งที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสมในสังคม ผู้วิจารณ์มองว่านี่เป็นการทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและไม่เปิดโอกาสให้เกิดการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์
  3. การเมืองและการแบ่งแยก: วัฒนธรรม “โว้ค” ถูกนำไปใช้ในบริบททางการเมืองจนกลายเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกกลุ่มคน ความแตกแยกนี้มักเกิดจากการที่แต่ละฝ่ายพยายามผลักดันแนวคิดของตนเองโดยไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำให้เกิดความตึงเครียดในสังคม
  4. ความไม่สมเหตุสมผลในบางกรณี: ผู้วิจารณ์บางคนมองว่าแนวคิด “โว้ค” บางประการมีลักษณะสุดโต่งหรือไม่สมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เคยเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ภาษา ศิลปะ หรือวัฒนธรรมที่ไม่เคยถูกมองว่ามีปัญหาในอดีต ซึ่งบางครั้งกลับสร้างความไม่พอใจให้กับผู้คนกลุ่มใหญ่

โว้คในบริบทของสังคมไทย

สำหรับในประเทศไทย แนวคิด “โว้ค” เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตระหนักถึงปัญหาสังคม เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ การสนับสนุนสิทธิของแรงงาน หรือการเรียกร้องความโปร่งใสในรัฐบาล กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้มักใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่ในการแสดงออกและผลักดันประเด็นเหล่านี้สู่สาธารณะ เช่น การรณรงค์เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ หรือการตั้งคำถามต่อโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมในองค์กรต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรม “โว้ค” ในไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความเชื่อดั้งเดิมและโครงสร้างสังคมที่แตกต่างจากตะวันตก ทั้งนี้ ความแตกต่างในมิติของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทยทำให้แนวคิด “โว้ค” ถูกมองว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวและยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยึดถือค่านิยมดั้งเดิมและมองว่าแนวคิดนี้อาจเป็นภัยต่อความเป็นไทย

สรุป

วัฒนธรรม “โว้ค” เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในสังคมปัจจุบัน ในด้านหนึ่ง มันช่วยให้ผู้คนตื่นตัวและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจกลายเป็นแหล่งของความขัดแย้งและการแบ่งแยก หากไม่มีการพูดคุยและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ ในท้ายที่สุด ความสำคัญของ “โว้ค” อยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนความยุติธรรมและการเคารพในความหลากหลายของความคิดเห็น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสังคมที่ยั่งยืนและมีความปรองดอง

 

Continue Reading

บ้านและสวน

คุณสมบัติของสารส้มใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากใช้สารส้มดับกลิ่นเต่า 

Published

on

อากาศร้อน ๆ ในเมืองไทย ทำให้เราหลีกหนีไม่พ้นกับเหงื่อและคราบไคล นอกจากจะกลิ่นเหม็นอับ ยังก่อให้เกิดขึ้ไคลที่เกิดจากหนังกำพร้าของเราผลัดอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เจอเหงื่อเข้าไปอีก กลายเป็นคราบและมีกลิ่นตัว บางคนมีกลิ่นตัวรุนแรง เพราะทั้งเหงื่อทั้งไขมัน เป็นปัญหารบกวนจิตใจและคนรอบข้าง ซึ่ง “สารส้ม” เป็นตัวที่ช่วยทำความสะอาดขึ้ไคลออกจากผิว และยังช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนไทยนิยมใช้ดับกลิ่นกันมาช้านาน 

 

หลายคนอาจเคยได้ยินสรรพคุณสารส้มใช้ดับกลิ่นเต่าและแกว่งน้ำขุ่นให้ใส แต่ที่จริงสารส้มมีประโยชน์มากกว่าที่คิด วันนี้ zblogged มีเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับสารส้ม ประโยชน์และโทษของสารส้มมีอะไรบ้าง สารส้มมีคุณสมบัติอย่างไร ใช้สารส้มทารักแร้ได้ไหม 

 

สารส้ม (ชื่อเคมี Alum) คือ สารทำให้หดตัว Astringent ที่เรียกว่า เกลือเชิงซ้อน ผลึกเกลือของสารประกอบที่มีธาตุอะลูมิเนียมและซัลเฟตเป็นสารประกอบหลัก มีรสฝาดเปรี้ยวไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถละลายน้ำได้ 

ประเภทของสารส้ม 

สารส้มสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. Potassium Alum

สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม เป็นเกลือโพแทสเซียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Potassium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี และอาจพบเป็นผงสีขาวละเอียดได้เช่นกัน 

 

2.Ammonium Alum 

สารส้มชนิดแอมโมเนียม เป็นเกลือแอมโมเนียม อะลูมิเนียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Ammonium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี 

 

สามารถนำสารส้มทั้ง 2 ชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน ทั้งในระบบครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม แต่สารส้มที่นิยมนำไปใช้งานมากที่สุด คือ สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม (Potassium Alum)

 

คนในสมัยโบราณ นอกจากจะนำไปใช้แกว่งน้ำให้ตกตะกอน ยังนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่เป็นแผลตื้น ๆ หรือแผลที่ไม่ลึกมาก โดยการบดให้เป็นผงละเอียดใช้โรยแผล นอกจากนี้ยังมีการนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่ถอนฟัน ด้วยการใช้สารส้ม 1 ส่วน ละลายน้ำเย็น 9 ส่วน หรือ ละลายกับน้ำต้มเดือด 3 ส่วน แล้วใช้อมห้ามเลือดจากการถอนฟัน หรือใช้อมเป็นประจำเพื่อแก้บาดแผลในปาก และป้องกันฟันโยก ฟันคลอน เหงือกร่น

คุณสมบัติของสารส้ม

  • ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอม แพ้น้ำหอม รวมถึงผู้ที่ชอบใช้น้ำหอม เพราะไม่มีกลิ่นไปหักล้างหรือรบกวนกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ 
  • ไม่มีส่วนผสมของครีมและน้ำมัน จึงใช้ได้โดยไม่เปื้อนเสื้อผ้า 
  • ปลอดภัยต่อร่างกาย เพราะสารส้มมีคุณสมบัติเป็นประจุลบ ไม่สามารถซึมผ่านผนังเซลล์ผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้ ไม่เกิดการอุดตันรูขุมขน และไม่ทำลายโอโซน ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม 
  • มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมสภาวะต่ออุณหภูมิห้อง 

 

ประโยชน์ของสารส้ม 

  • ระงับกลิ่นตัว ด้วยการกวนสารส้มในน้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ช่วยระงับกลิ่นตัวได้ 100% นานถึง 24 ชั่วโมง สามารถใช้สารส้มทารักแร้ดับกลิ่นตัวได้เป็นประจำ โดยไม่เกิดอันตราย 
  • เปลี่ยนน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใส โดยการกวนสารส้มในน้ำ สารแขวนลอยต่าง ๆ จะตกตะกอนลงก้น เหลือแต่น้ำใส ๆ ไว้ใช้อุปโภคได้
  • ใช้ดับกลิ่นคาว โดยการกวรสารส้มในน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ไปล้างปลา เนื้อ หรือเครื่องในสัตว์ที่ต้องการดับกลิ่น
  • ใช้ห้ามเลือด ด้วยการป่นหรือบดสารส้มให้เป็นผงละเอียดแล้วละลายน้ำ หรือใช้โรยบนบาดแผลได้เลย ซึ่งจะรู้สึกแสบเล็กน้อย แต่ห้ามเลือดได้ผลดี 
  • ทาแก้ผื่นคันตามผิวหนังจากยุงหรือแมลงกัด และอาการคันระคายเคืองผิวหนังจากสาเหตุอื่น ๆ 
  • ใช้หลังโกนหนวดไม่ให้เกิดการระคายเคือง ช่วยห้ามเลือดและสมานแผลที่เกิดจากการโกนหนวด
  • ทำให้อาเจียนเพื่อถอนพิษ กรณีที่เผลอกินหรือกลืนสารพิษ เช่น กินเห็ดเมา กินยาผิด กลืนสารเคมี กรดหรือด่าง ให้ตำสารส้มละลายน้ำ แล้วดื่มถอนพิษ จะทำให้อาเจียนเอาพิษออกมา 
  • ชุบไส้ตะเกียง ทำให้ไม่มีควัน วิธีคือ ใช้กวนสารส้มในน้ำ แล้วนำไส้ตะเกียงไปชุบ จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง เวลาที่จุดตะเกียงก็จะไม่มีควันรบกวน
  • รักษาถั่วงอกให้กรอบ สด เก็บได้นาน โดยการนำถั่วงอกแช่ลงในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม แล้วค่อยตั้งให้สะเด็ดน้ำ 
  • ดองผักให้กรอบ และช่วยให้อาหารกรอบ โดยเฉพาะผัก ทำง่าย ๆ โดยการนำผักไปแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ก่อนนำผักไปดองหรือปรุงอาหาร 
  • ช่วยให้ข้าวเหนียวมีเมล็ดสวย วิธีทำ น้ำข้าวเหนียวแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเปลี่ยนน้ำแช่ใหม่ เมื่อนำไปนึ่ง ข้าวเหนียวจะเรียงเม็ดสวย น่ารับประทาน นุ่ม และเก็บได้นานขึ้น
  • เก็บรักษาพริกขี้หนูให้สดได้นาน โดยการนำพริกขี้หนูแช่ในน้ำสารส้มสักครู่ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง และเมื่อจะทานจะต้องล้างพริกก่อนทุกครั้ง  
  • กันบูด ใช้สารส้มผสมกับแป้งเปียกเพื่อใช้กันบูดได้ 
  • ใช้ป้องกันและรักษาส้นเท้าแตก 
  • ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ย้อมสีผ้าเพื่อช่วยให้สีติดเส้นใยได้ดีขึ้น อุตสาหกรรมกระดาษ การประปา การบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น 

 

ข้อควรระวังในการใช้สารส้ม 

แม้ว่าสารส้มมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เนื่องจากสารส้มมีสารประกอบเป็นอะลูมิเนียมและซัลเฟต จึงต้องระมัดระวังในการใช้ และเพื่อใช้สารส้มให้ได้ผลอย่างปลอดภัย ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะนำไปใช้ เพราะการใช้สารส้มในบางกรณีอาจเกิดอันตรายได้ เช่น การทานสารส้มอะลัมเพื่อช่วยให้อาเจียนขับสารพิษ แต่ถ้าทานในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ร่างกายดูดซึมอะลูมิเนียมเข้าไปได้ รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ  เช่น อาการคลื่นไส้ หรือ ปวดศีรษะ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย แนะนำว่า ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด รวมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้สารส้มดีที่สุด

 

Continue Reading

กำลังมาแรง