Connect with us

ไลฟ์สไตล์

ข้อห้ามและข้อควรทำในเทศกาลกินเจมีอะไรบ้าง

Published

on

ใกล้เทศกาลกินเจเข้ามาทุกที โดยปีนี้ เทศกาลกินเจ 2566 ตรงกับวันที่ 15 – 23 ตุลาคม ซึ่งตามปฏิทินจีนจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ – 9 ค่ำ เดือน 9 แต่ตามปฏิทินสากล จะตรงกับเดือน 11 หรือ ตรงกับเดือนตุลาคมของไทย โดยมีระยะเวลาทั้งหมด 9 วันด้วยกัน แต่มีผู้กินเจหลายคนอาจมีการล้างท้องก่อนวันเทศกาลกินเจจริง 1 วัน โดยเริ่มล้างท้องตั้งแต่ตอนเย็น อย่างในปีนี้ การล้างท้องก็อาจจะเริ่มตอนเย็นในวันที่ 14 ตุลาคม ทำให้บางคนกินเจ 10 วัน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ล้างท้องก็กินเจ 9 วัน นั่นเอง เรามาดูกันว่า คนกินเจห้ามกินอะไรบ้าง และเตรียมตัวอย่างไรในเทศกาลกินเจ

Woman putting food on Chinese New Year celebration table, view from above

กินเจห้ามกินอะไร และข้อควรทำสำหรับคนกินเจ 

  1. ห้ามกินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสม ส่วนประกอบ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งจากสัตว์ เช่น ไข่ เลือด ไขมันสัตว์ นม เนย น้ำผึ้ง เป็นต้น 

 

  1. ห้ามกินผักกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง โดยผักกลิ่นฉุน 5 ชนิดที่คนกินเจห้ามกิน ได้แก่ 
  • กระเทียม
  • ผักตระกูลหัวหอม หอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอม 
  • หลักเกียว
  • กุ้ยช่าย
  • ใบยาสูบ

 

  1. ห้ามกินอาหารรสจัด ทั้งรสเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด หรือ เปรี้ยวจัด เพราะอาหารรสจัดจะไปกระตุ้นต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานหนักขึ้น เป็นการเบียดเบียนร่างกาย และส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้รู้สึกไม่สงบ 

 

  1. ห้ามกินอาหารจากคนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจ เพราะคนที่ไม่ได้กินเจ อาจไม่รู้ข้อระเบียบที่เคร่งครัด อาจใช้วัสดุอุปกรณ์ปรุงอาหาร หรือเผลอใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปรุงอาหาร ดังนั้น คนที่กินเจควรไปกินอาหารในสถานที่ ๆ จัดไว้สำหรับอาหารเจโดยเฉพาะ เพราะผู้ปรุงอาหารจะเป็นผู้ที่ถือศีลกินเจด้วยเช่นกัน เช่น โรงทาน หรือ ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่จัดงาน เป็นต้น 

 

  1. ห้ามใช้อุปกรณ์ปรุงอาหาร และวัสดุใส่อาหารปนกับผู้ที่ไม่กินเจ

 

  1. ไม่ฆ่าสัตว์ รังแกหรือทำร้ายสัตว์ทุกรูปแบบ 

 

  1. รักษาศีล 5 หรือ ศีล 8 เพื่อให้ร่างกายและจิตใจสะอาด ถึงพร้อมด้วยการทำบุญ

 

  1. แต่งกายสะอาด สุภาพ โดยแต่งกายด้วยชุดขาวดีที่สุด 

 

  1. ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดยุยง ส่อเสียด ห้ามพูดจาเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสาระ 

 

  1. ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา ในช่วงตลอดระยะเวลาที่กินเจ 9 วัน หรือ 10 วัน 

 

  1. ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง ในสถานที่ศาลเจ้า โรงทาน โรงเจ หรือสถานที่ที่จัดงานถือศีลกินเจ โดยจะมีผู้เฝ้าตะเกียงทั้ง 9 ดวงตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ให้ตะเกียงดับ 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ไลฟ์สไตล์

วัฒนธรรม “โว้ค” คืออะไร? ทำไมคนถึงต่อต้าน?

จริง ๆ แล้ว วัฒนธรรม “โว้ค” หมายถึงอะไรกันแน่ และทำไมถึงมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านอย่างมากมาย? วันนี้เราจะพาไปดูกัน

Published

on

Protestors With Placards On Black Lives Matter Demonstration March Against Racism

ในยุคปัจจุบัน คำว่า “โว้ค” (Woke) ได้กลายเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งและหลากหลาย บางคนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการตื่นตัวในประเด็นทางสังคม ขณะที่อีกหลายคนกลับมองว่าเป็นเครื่องมือที่สร้างความขัดแย้งในสังคม แต่จริง ๆ แล้ว วัฒนธรรม “โว้ค” หมายถึงอะไรกันแน่ และทำไมถึงมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านอย่างมากมาย? บทความนี้จะพาไปสำรวจความหมายของคำว่า “โว้ค” ต้นกำเนิด และเหตุผลที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์

ความหมายและต้นกำเนิดของ “โว้ค”

คำว่า “โว้ค” มีต้นกำเนิดจากภาษาอังกฤษที่แปลว่า “ตื่น” หรือ “ตระหนัก” ในช่วงทศวรรษ 1940 คำนี้เริ่มใช้ในหมู่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันเพื่อแสดงถึงการตื่นตัวในเรื่องความอยุติธรรมทางสังคม โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 “โว้ค” ได้ขยายความหมายออกไปครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิทธิของชุมชน LGBTQ+ และอื่น ๆ

ในปัจจุบัน “โว้ค” ไม่ได้เป็นเพียงคำศัพท์ แต่กลายเป็นแนวคิดหรือวัฒนธรรมที่สนับสนุนการตระหนักรู้ในปัญหาสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรม โดยผู้ที่สนับสนุนวัฒนธรรมนี้มักจะมองว่าการเป็น “โว้ค” คือการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม

Carefree large group of multiracial young adult standing outdoors and posing

เหตุใดผู้คนถึงต่อต้านวัฒนธรรม “โว้ค”?

แม้ว่าหลักการของ “โว้ค” จะมุ่งเน้นไปที่ความยุติธรรมและความเท่าเทียม แต่กลับมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านวัฒนธรรมนี้ ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น:

  1. การถูกมองว่าเป็นการบังคับทางความคิด: หลายคนรู้สึกว่าวัฒนธรรม “โว้ค” มักบังคับให้ผู้คนต้องยอมรับแนวคิดบางอย่าง แม้กระทั่งในกรณีที่ความคิดเห็นเหล่านั้นขัดกับความเชื่อหรือค่านิยมของตนเอง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ “โว้ค” อาจถูกมองว่าเป็น “คนล้าหลัง” หรือ “ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ” ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกถูกกดดัน
  2. ความเกินเลยของCancel Culture: วัฒนธรรม “โว้ค” มักถูกเชื่อมโยงกับแนวคิดการแบนสิ่งหนึ่งๆ หรือ Cancel Culture ซึ่งเป็นการโจมตีหรือแบนบุคคลที่แสดงออกหรือกระทำสิ่งที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสมในสังคม ผู้วิจารณ์มองว่านี่เป็นการทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและไม่เปิดโอกาสให้เกิดการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์
  3. การเมืองและการแบ่งแยก: วัฒนธรรม “โว้ค” ถูกนำไปใช้ในบริบททางการเมืองจนกลายเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกกลุ่มคน ความแตกแยกนี้มักเกิดจากการที่แต่ละฝ่ายพยายามผลักดันแนวคิดของตนเองโดยไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำให้เกิดความตึงเครียดในสังคม
  4. ความไม่สมเหตุสมผลในบางกรณี: ผู้วิจารณ์บางคนมองว่าแนวคิด “โว้ค” บางประการมีลักษณะสุดโต่งหรือไม่สมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เคยเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ภาษา ศิลปะ หรือวัฒนธรรมที่ไม่เคยถูกมองว่ามีปัญหาในอดีต ซึ่งบางครั้งกลับสร้างความไม่พอใจให้กับผู้คนกลุ่มใหญ่

โว้คในบริบทของสังคมไทย

สำหรับในประเทศไทย แนวคิด “โว้ค” เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตระหนักถึงปัญหาสังคม เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ การสนับสนุนสิทธิของแรงงาน หรือการเรียกร้องความโปร่งใสในรัฐบาล กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้มักใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่ในการแสดงออกและผลักดันประเด็นเหล่านี้สู่สาธารณะ เช่น การรณรงค์เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ หรือการตั้งคำถามต่อโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมในองค์กรต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรม “โว้ค” ในไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความเชื่อดั้งเดิมและโครงสร้างสังคมที่แตกต่างจากตะวันตก ทั้งนี้ ความแตกต่างในมิติของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทยทำให้แนวคิด “โว้ค” ถูกมองว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวและยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยึดถือค่านิยมดั้งเดิมและมองว่าแนวคิดนี้อาจเป็นภัยต่อความเป็นไทย

สรุป

วัฒนธรรม “โว้ค” เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในสังคมปัจจุบัน ในด้านหนึ่ง มันช่วยให้ผู้คนตื่นตัวและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจกลายเป็นแหล่งของความขัดแย้งและการแบ่งแยก หากไม่มีการพูดคุยและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ ในท้ายที่สุด ความสำคัญของ “โว้ค” อยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนความยุติธรรมและการเคารพในความหลากหลายของความคิดเห็น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสังคมที่ยั่งยืนและมีความปรองดอง

 

Continue Reading

บ้านและสวน

คุณสมบัติของสารส้มใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากใช้สารส้มดับกลิ่นเต่า 

Published

on

อากาศร้อน ๆ ในเมืองไทย ทำให้เราหลีกหนีไม่พ้นกับเหงื่อและคราบไคล นอกจากจะกลิ่นเหม็นอับ ยังก่อให้เกิดขึ้ไคลที่เกิดจากหนังกำพร้าของเราผลัดอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เจอเหงื่อเข้าไปอีก กลายเป็นคราบและมีกลิ่นตัว บางคนมีกลิ่นตัวรุนแรง เพราะทั้งเหงื่อทั้งไขมัน เป็นปัญหารบกวนจิตใจและคนรอบข้าง ซึ่ง “สารส้ม” เป็นตัวที่ช่วยทำความสะอาดขึ้ไคลออกจากผิว และยังช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนไทยนิยมใช้ดับกลิ่นกันมาช้านาน 

 

หลายคนอาจเคยได้ยินสรรพคุณสารส้มใช้ดับกลิ่นเต่าและแกว่งน้ำขุ่นให้ใส แต่ที่จริงสารส้มมีประโยชน์มากกว่าที่คิด วันนี้ zblogged มีเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับสารส้ม ประโยชน์และโทษของสารส้มมีอะไรบ้าง สารส้มมีคุณสมบัติอย่างไร ใช้สารส้มทารักแร้ได้ไหม 

 

สารส้ม (ชื่อเคมี Alum) คือ สารทำให้หดตัว Astringent ที่เรียกว่า เกลือเชิงซ้อน ผลึกเกลือของสารประกอบที่มีธาตุอะลูมิเนียมและซัลเฟตเป็นสารประกอบหลัก มีรสฝาดเปรี้ยวไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถละลายน้ำได้ 

ประเภทของสารส้ม 

สารส้มสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. Potassium Alum

สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม เป็นเกลือโพแทสเซียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Potassium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี และอาจพบเป็นผงสีขาวละเอียดได้เช่นกัน 

 

2.Ammonium Alum 

สารส้มชนิดแอมโมเนียม เป็นเกลือแอมโมเนียม อะลูมิเนียมซัลเฟตที่มีน้ำ (Hydrated Ammonium Aluminum Sulphate) มีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี 

 

สามารถนำสารส้มทั้ง 2 ชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน ทั้งในระบบครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม แต่สารส้มที่นิยมนำไปใช้งานมากที่สุด คือ สารส้มชนิดโพแทสเซียม อลัม (Potassium Alum)

 

คนในสมัยโบราณ นอกจากจะนำไปใช้แกว่งน้ำให้ตกตะกอน ยังนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่เป็นแผลตื้น ๆ หรือแผลที่ไม่ลึกมาก โดยการบดให้เป็นผงละเอียดใช้โรยแผล นอกจากนี้ยังมีการนำสารส้มใช้ห้ามเลือดในกรณีที่ถอนฟัน ด้วยการใช้สารส้ม 1 ส่วน ละลายน้ำเย็น 9 ส่วน หรือ ละลายกับน้ำต้มเดือด 3 ส่วน แล้วใช้อมห้ามเลือดจากการถอนฟัน หรือใช้อมเป็นประจำเพื่อแก้บาดแผลในปาก และป้องกันฟันโยก ฟันคลอน เหงือกร่น

คุณสมบัติของสารส้ม

  • ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอม แพ้น้ำหอม รวมถึงผู้ที่ชอบใช้น้ำหอม เพราะไม่มีกลิ่นไปหักล้างหรือรบกวนกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ 
  • ไม่มีส่วนผสมของครีมและน้ำมัน จึงใช้ได้โดยไม่เปื้อนเสื้อผ้า 
  • ปลอดภัยต่อร่างกาย เพราะสารส้มมีคุณสมบัติเป็นประจุลบ ไม่สามารถซึมผ่านผนังเซลล์ผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้ ไม่เกิดการอุดตันรูขุมขน และไม่ทำลายโอโซน ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม 
  • มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมสภาวะต่ออุณหภูมิห้อง 

 

ประโยชน์ของสารส้ม 

  • ระงับกลิ่นตัว ด้วยการกวนสารส้มในน้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ช่วยระงับกลิ่นตัวได้ 100% นานถึง 24 ชั่วโมง สามารถใช้สารส้มทารักแร้ดับกลิ่นตัวได้เป็นประจำ โดยไม่เกิดอันตราย 
  • เปลี่ยนน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใส โดยการกวนสารส้มในน้ำ สารแขวนลอยต่าง ๆ จะตกตะกอนลงก้น เหลือแต่น้ำใส ๆ ไว้ใช้อุปโภคได้
  • ใช้ดับกลิ่นคาว โดยการกวรสารส้มในน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ไปล้างปลา เนื้อ หรือเครื่องในสัตว์ที่ต้องการดับกลิ่น
  • ใช้ห้ามเลือด ด้วยการป่นหรือบดสารส้มให้เป็นผงละเอียดแล้วละลายน้ำ หรือใช้โรยบนบาดแผลได้เลย ซึ่งจะรู้สึกแสบเล็กน้อย แต่ห้ามเลือดได้ผลดี 
  • ทาแก้ผื่นคันตามผิวหนังจากยุงหรือแมลงกัด และอาการคันระคายเคืองผิวหนังจากสาเหตุอื่น ๆ 
  • ใช้หลังโกนหนวดไม่ให้เกิดการระคายเคือง ช่วยห้ามเลือดและสมานแผลที่เกิดจากการโกนหนวด
  • ทำให้อาเจียนเพื่อถอนพิษ กรณีที่เผลอกินหรือกลืนสารพิษ เช่น กินเห็ดเมา กินยาผิด กลืนสารเคมี กรดหรือด่าง ให้ตำสารส้มละลายน้ำ แล้วดื่มถอนพิษ จะทำให้อาเจียนเอาพิษออกมา 
  • ชุบไส้ตะเกียง ทำให้ไม่มีควัน วิธีคือ ใช้กวนสารส้มในน้ำ แล้วนำไส้ตะเกียงไปชุบ จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง เวลาที่จุดตะเกียงก็จะไม่มีควันรบกวน
  • รักษาถั่วงอกให้กรอบ สด เก็บได้นาน โดยการนำถั่วงอกแช่ลงในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม แล้วค่อยตั้งให้สะเด็ดน้ำ 
  • ดองผักให้กรอบ และช่วยให้อาหารกรอบ โดยเฉพาะผัก ทำง่าย ๆ โดยการนำผักไปแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ก่อนนำผักไปดองหรือปรุงอาหาร 
  • ช่วยให้ข้าวเหนียวมีเมล็ดสวย วิธีทำ น้ำข้าวเหนียวแช่ในน้ำที่กวนด้วยสารส้ม ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเปลี่ยนน้ำแช่ใหม่ เมื่อนำไปนึ่ง ข้าวเหนียวจะเรียงเม็ดสวย น่ารับประทาน นุ่ม และเก็บได้นานขึ้น
  • เก็บรักษาพริกขี้หนูให้สดได้นาน โดยการนำพริกขี้หนูแช่ในน้ำสารส้มสักครู่ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง และเมื่อจะทานจะต้องล้างพริกก่อนทุกครั้ง  
  • กันบูด ใช้สารส้มผสมกับแป้งเปียกเพื่อใช้กันบูดได้ 
  • ใช้ป้องกันและรักษาส้นเท้าแตก 
  • ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ย้อมสีผ้าเพื่อช่วยให้สีติดเส้นใยได้ดีขึ้น อุตสาหกรรมกระดาษ การประปา การบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น 

 

ข้อควรระวังในการใช้สารส้ม 

แม้ว่าสารส้มมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เนื่องจากสารส้มมีสารประกอบเป็นอะลูมิเนียมและซัลเฟต จึงต้องระมัดระวังในการใช้ และเพื่อใช้สารส้มให้ได้ผลอย่างปลอดภัย ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะนำไปใช้ เพราะการใช้สารส้มในบางกรณีอาจเกิดอันตรายได้ เช่น การทานสารส้มอะลัมเพื่อช่วยให้อาเจียนขับสารพิษ แต่ถ้าทานในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ร่างกายดูดซึมอะลูมิเนียมเข้าไปได้ รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ  เช่น อาการคลื่นไส้ หรือ ปวดศีรษะ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย แนะนำว่า ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด รวมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้สารส้มดีที่สุด

 

Continue Reading

อาหาร

ต้นกำเนิดทาร์ตไข่ (Egg Tart) ที่ไม่ได้เกิดจากเอเชีย

Published

on

ทาร์ตไข่ ขนมหวานแสนอร่อย คัสตาร์ดจากแป้งพายกรอบ ๆ แต่นุ่มละมุนลิ้นด้วยไข่แดง กลิ่นหอม ๆ ยามออกจากเตาร้อน ๆ จึงไม่แปลกที่ใครหลายคนจะโปรดปรานขนมชนิดนี้ และคนส่วนใหญ่ก็มักเข้าใจว่าเป็นขนมต้นตำรับจากเมืองฮ่องกงหรือมาเก๊า เพราะเป็นของขึ้นชื่อลือชาที่ใครไปเที่ยวแล้วต้องชิม ต้องซื้อกลับมาฝากคนที่บ้าน แต่ที่จริง ต้นกำเนิดของทาร์ตไข่กลับไม่ใช่ในโซนเอเชีย แต่กลับมีที่มาจากคนละฝั่งทวีปเสียด้วยซ้ำ! แถมคนที่คิดค้นสูตรทาร์ตไข่ ก็ไม่ใช่นักทำขนม หรือพ่อครัว แม่บ้านที่ไหน แต่ทาร์ตไข่ คือ เมนูกำจัดไข่แดงเหลือทิ้งจากการซักรีดของพระในอาราม !! โอ้ละหนอ เป็นไงมาไงกันละนี่ ถ้าอย่างนั้นต้องตามไปดูประวัติทาร์ตไข่ มาจากประเทศอะไรกันแน่ และทำไมจากของเหลือทิ้งจึงกลายเป็นขนมแสนอร่อยสุดฮิตที่รู้จักกันทั่วโลก 

 

ย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดของทาร์ตไข่ คือ ขนมหวานสัญชาติของโปรตุเกส เรียกว่า Pastéis de Nata ซึ่งมีประวัติมาอย่างยาวนาน โดยสูตรขนมชนิดนี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 โดยพระสงฆ์คาทอลิก จากอาราม Hieronymites ในลิสบอน ซึ่งในสมัยนั้น พระและชีจะใช้ไข่ขาวเพื่อทำให้เสื้อผ้าอยู่ทรง ทำให้มีการใช้ไข่ขาวในปริมาณมาก จึงมีไข่แดงเหลือทิ้งจำนวนมากตามไปด้วย และด้วยเมืองลิสบอนในตอนนั้นเป็นอาณาจักรใหม่ที่เป็นเส้นทางการค้าสำคัญ ทำให้มีสินค้านำเข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายมากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือน้ำตาล และโปรตุเกสเองก็สามารถเข้าถึงโรงงานน้ำตาลได้มากถึง 2,500 แห่ง เมื่อมีไข่แดงเหลือทิ้งมากมาย ประกอบกับน้ำตาลก็มีอยู่มากในขณะนั้น พระและชีในวัดจึงเกิดไอเดียนำทั้งสองสิ่งนี้มาอบเป็นขนมต่าง ๆ เป็นแนวทางและวิธีการลดขยะอาหาร ไม่ให้ไข่แดงถูกทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ จนได้กำเนิดเมนูใหม่อย่าง “ทาร์ตไข่” ขึ้นมา

Egg tart on wooden background.

 

ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 1800 เกิดสงครามกลางเมืองจนเกิดความวุ่นวายในโปรตุเกส เกิดการปฏิวัติเสรีนิยม ลุกลามใหญ่โตจนกระทั่ง ค.ศ.1820 รัฐบาลโปรตุเกสได้หยุดจ่ายเงินให้กับวัดต่าง ๆ เมื่อไม่เงินสนับสนุนกิจกรรมภายในวัด ทำให้อารามและคอนแวนต์หลายแห่งต้องปิดตัวลง ส่วนวัด Jeronimos ที่ทำทาร์ตไข่กินกันเองภายในวัด เพื่อจะได้ไม่ต้องทิ้งไข่แดงให้สูญเปล่า ก็ได้ทำทาร์ตไข่ออกมาขายเพื่อหารายได้ให้วัดยังคงดำเนินการต่อไปได้ และด้วยที่เขตเบเล็มที่ตั้งของวัดนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองลิสบอน จึงมักมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมความสวยงามของวัดแห่งนี้ รวมไปถึงสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ทาร์ตไข่กลายเป็นที่รู้จักและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น และเป็นที่ชื่นชอบจนได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยว และเมืองอื่น ๆ ในโปรตุเกส

 

Egg tart on wooden background.

แต่แล้วก็สุดที่จะยื้อได้ อารามถูกสั่งปิดตัวลง แต่เพื่อไม่ให้ทาร์ตไข่ขนมยอดนิยมของทุกคนสูญหายไป พระลูกวัดจึงได้ขายสูตรทาร์ตไข่ให้กับเจ้าของโรงกลั่นน้ำตาล และ 3 ปีต่อมา โรงกลั่นได้เปิดร้านเบเกอร์รี่มีชื่อว่า “Fábrica de Pastéis de Belém” โดยมีเมนูเด็ดและโด่งดังก็คือ ทาร์ตไข่ โดยเรียกว่า “Pastéis de Belém” (เพื่อไม่ให้ซ้ำกับ Pastéis de Nata) กลายเป็นร้านทาร์ตไข่ที่มีชื่อเสียงของโปรตุเกส และเป็นต้นตำรับของทาร์ตไข่ที่ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก 

 

ขนมอบจากเมืองโปรตุเกสได้ข้ามทวีปมาเติบโตในเอเชีย เพราะฮ่องกงและมาเก๊าเคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษและโปรตุเกสมาก่อน ทำให้มีการสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นขนมที่ขึ้นชื่อของทั้งสองประเทศนั่นเอง 

Continue Reading

กำลังมาแรง