Connect with us

บ้านและสวน

ดูให้ออกระหว่าง งูพิษกับงูไม่มีพิษ ทำอย่างไรเมื่อเจองู

Published

on

งูในประเทศไทยมีหลากหลายพันธุ์ด้วยกัน ทั้งงูมีพิษ และ งูไม่มีพิษ แต่ด้วยพื้นฐานความกลัวของคน ทำให้ส่วนใหญ่เมื่อเจองูหากไม่หนี ก็ทำร้ายหรือตีจนตายเพื่อป้องกันตนเองไว้ก่อน  ทำให้งูที่ไม่มีพิษโดนหางเลขไปด้วย จนงูไร้พิษบางชนิดเกือบสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย หรือบางคนเห็นว่างูตัวเล็กไม่น่ามีพิษสงอะไร ยุให้สัตว์เลี้ยงขับไล่งู และโดนพิษของงูจนสัตว์เลี้ยงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต สร้างความเสียให้กับผู้เป็นเจ้าของ แล้วเราจะมีวิธีรับมือกับงูเหล่านี้อย่างไร และสังเกตอย่างไรว่างูมีพิษหรืองูไม่มีพิษกันแน่ 

ดวงตาของงู 

งูไม่มีพิษมักจะมีรูม่านตากลม ในขณะที่งูมีพิษจะมีม่านตาแนวตั้ง แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะงูมีพิษบางชนิดอาจมีรูม่านตากลมเช่นกัน จนอาจทำให้แยกออกลำบาก เช่น งูเห่า งูแบล็คแมมบา (แอฟริกา)  และงูไทปัน (ออสเตรเลีย) และ งูไม่มีพิษบางชนิดก็สามารถปรับเปลี่ยนรูม่านตาให้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมแนวตั้งเหมือนงูมีพิษเมื่อตกอยู่ในอันตราย เช่น งูหมอก

ลักษณะทรงหัวงู 

งูมีพิษจะมีลักษณะหัวทรงสามเหลี่ยม และมีความกว้างกว่าบริเวณคอของมัน ในขณะที่งูไม่มีพิษจะมีหัวทรงโค้งมน  

เกล็ดงู

เกล็ดของงูพิษจะมีลักษณะเกล็ดแถวเดียวที่บริเวณปลายหาง แต่งูไม่มีพิษจะมีเกล็ดแบ่งเป็น 2 แถวตรงปลายหาง 

รูจมูกเหนือปากงู

ปกติของงูพิษจะสามารถรู้ตำแหน่งของเหยื่อด้วยรังสีความร้อนที่แผ่ออกมา ด้วยการผ่านอวัยวะที่มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ คล้ายรูจมูก เรียกว่า Pit Organ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเรดาร์ในการล่าเหยื่อ มีความแม่นและจับวางยิ่งกว่าดวงตาของงูเสียอีก 

สีสัน 

งูพิษส่วนใหญ่มีสีสันสดใส สวยงาม มักจะทำเสียงขู่ศัตรูได้ หรือ ทำเสียงสั่น เช่น งูหางกระดิ่ง พฤติกรรมก้าวร้าว 

รูปทรง ลวดลาย 

ส่วนใหญ่ลวดลายงูพิษเป็นทรงสามเหลี่ยม ทรงคล้ายเพชร หรือ มีสามสีบนผิวหนัง ในขณะที่งูไม่มีพิษมักจะไม่มีสีและลวดลาย แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไป เพราะงูไร้พิษบางชนิดมีลวดลายจนทำให้คนสับสนและเข้าใจผิดว่าเป็นงูพิษ เช่น งูน้ำที่ไม่มีพิษ กับ วงศ์งูแมวเซา มักจะมีลักษณะและลวดลายคล้ายกัน แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าต่างกันตรงที่วงศ์งูแมวเซามีลวดลายวงกลมหรือซิกแซกพาดลำตัว ส่วนงูน้ำมีลายสีเหลืองรอบคอ 

ลักษณะการเคลื่อนตัวในน้ำ 

หากพบเจองูเมื่ออยู่ในน้ำ สังเกตการเคลื่อนไหวของงู ถ้าเป็นงูพิษจะว่ายน้ำโดยให้เห็นทั้งตัวเหนือน้ำ แต่ถ้าว่ายน้ำโดยลำตัวจมอยู่ใต้น้ำมักจะเป็นงูไม่มีพิษ เช่น งูกินปลา เป็นต้น 

 

การป้องกันไม่ให้ถูกงูกัด 

  • จัดบ้านอย่าให้รกจนกลายเป็นแหล่งที่อยู่ของหนู เพราะหนูคืออาหารชั้นเลิศของงูทั้งหลาย ที่ไหนมีหนู จะเชิญชวนให้งูเข้าบ้านโดยอัตโนมัติ ดังนั้น คอยทำความสะอาดบ้าน จัดบ้านให้สะอาด ไม่เป็นแหล่งกบดานของหนู นอกจากจะป้องกันการเรียกงูเข้าบ้านโดยไม่ได้รับเชิญ ยังช่วยป้องกันโรคที่มีหนูเป็นพาหะด้วยเช่นกัน 
  • กรณีที่มีสวนหญ้า ควรตัดหญ้าที่รกให้เตียน และจัดสวนให้โล่งที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้สวนของบ้านกลายเป็นแหล่งกบดานของงูทั้งหลาย และยังช่วยให้สามารถสังเกตเห็นงูได้ชัดเจน แถมสวนดูสวยงามสบายตา
  • หลายตำราแนะนำให้ใช้ผ้าชุบแอมโมเนียวางรอบบริเวณบ้าน เนื่องจากงูไม่ชอบกลิ่นแอมโมเนีย และกลิ่นของสารแอมโมเนียรบกวนประสาทของงู ทำให้งูไม่ชอบหนีห่างไปเอง โดยไม่ทำอันตรายต่องู เป็นการไล่งูเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายงูแต่อย่างใด 
  • ปกตินิสัยงูจะไม่โจมตีมนุษย์ก่อน หากไม่ไปรบกวนหรือทำให้งูตกใจจนต้องป้องกันตัว และงูจะมีความดุร้ายมากขึ้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน และ เดือนกรกฎาคม เพราะฉะนั้นอย่าพยายามอย่าไปทำแหย่ หรือทำให้งูตกใจและหวาดกลัว เพราะมันสามารถพ่นพิษได้มากกว่าปกติ 
  • ถ้าต้องเข้าป่าหรือในที่บริเวณที่มีหญ้ารก หรือเข้าข่ายเป็นที่อยู่ของงูโดยธรรมชาติ ควรใส่รองเท้าที่ปิดมิดชิดและมีขอบสูง มีความหนาเพื่อป้องกันคมเขี้ยวของงู และควรหลีกเลี่ยงเดินในบริเวณที่มีต้นหญ้าสูง ใบไม้ทับถมจำนวนมาก และพื้นที่เปียกชื้น เพราะอาจมีงูอาศัยอยู่โดยที่เราไม่สามารถมองเห็นตัวได้ จะทำให้โดนงูฉกกัดโดยไม่ทันระวัง 
  • เมื่อจำเป็นต้องเข้าในป่าหรือบริเวณที่อาจเป็นแหล่งอาศัยของงู ควรใช้ไม้แหวกหญ้าให้เกิดเสียงดังก่อนจะเดินไป เพื่อให้งูได้ยินเสียงและล่าถอยออกไป 
  • เมื่อต้องพักแรมในป่า ควรปิดไฟ เพราะแสงไฟจะเป็นตัวดึงดูดเรียกงูให้เข้าหา และควรสบัดหรือเขย่าเสื้อผ้าก่อนสวมทุกครั้ง รวมถึงการเคาะรองเท้าด้วยเช่นกัน 
  • หากงูเลื้อยหนีไปแล้ว อย่าไล่ตามงู เพราะมันจะยิ่งกระตุ้นให้งูกลับมาแว้งกัดได้ 

 

รู้ได้อย่างไรงูที่กัดเป็นงูพิษหรือไม่มีพิษ 

รอยกัด 

หากโดนงูกัด ให้รีบสังเกตรอยกัด ลักษณะรอยกัดของงูมีพิษจะเป็นรอยฟัน 2 ชุด และรอยเขี้ยวใหญ่เห็นได้ชัดเจน ในขณะที่งูไม่มีพิษรอยฟันจะเล็กกว่า 

 

อาการหลังจากถูกกัด  

ผิวหนังบริเวณรอยกัดเริ่มบวมและซีด รู้สึกเจ็บปวด คลื่นไส้ หายใจลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีไข้ ความดันโลหิตสูง 

 

การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด 

เมื่อถูกงูกัด ไม่ว่าจะเป็นงูชนิดใดก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อทำการวินิจฉัย สามารถรักษาได้ถูกต้องและทันท่วงที โดยระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่หรือรถฉุกเฉินมารับตัว สามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มากขึ้น และลดความเสี่ยงการสูญเสียได้ โดยทำได้ดังนี้ 

 

  • สำรวจบริเวณผิวหนังที่ถูกกัด ถ้ามีพิษค้างอยู้ด้านนอก ควรนำพิษออกอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้พิษเข้าสู่บาดแผล 
  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิด  
  • อย่าขยับร่างกายให้มาก ควรอยู่นิ่ง ๆ ให้มากที่สุด เพราะอัตราการเต้นของหัวใจ มีผลต่อการแพร่กระจายของพิษงู หัวใจเต้นเร็วเท่าไรยิ่งสูบฉีดพิษให้แล่นไปตามกระแสเลือดได้เร็วยิ่งขึ้น 
  • ไม่ควรตัดหรือกรีดบาดแผลเพื่อนำพิษงูออกเอง ห้ามนำอะไรไปทาแผล และห้ามขันชะเนาะเองเด็ดขาด แต่ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล หากไม่มี ควรส่งตัวผู้ป่วยให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุด 
  • กรณีที่ตีงูตาย ควรนำซากงูไปให้แพทย์ได้ตรวจสอบด้วย เพื่อจะได้ทำการรักษาได้ถูกต้องกับชนิดพิษของงู หรืองูหนีไปได้แต่รู้จักชนิดของงูหรือลักษณะเด่นของงูได้ ควรจดจำและแจ้งแก่แพทย์ด้วยเช่นกัน 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจองูชนิดใดหรือที่ไหนก็ตาม ไม่ควรไปยุ่งกับมัน ควรหลีกหนีให้ห่างที่สุด และแจ้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยกู้ภัย เช่น สวพ.91 , จส.100 หรือ 1169  และสำหรับใครที่มีสัตว์เลี้ยง ควรนำสัตว์เลี้ยงออกห่างไกลงูด้วยเช่นกัน ไม่ควรให้สัตว์เลี้ยงไปไล่ต้อนงูเด็ดขาด หากไม่อยากเสียสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณไปตลอดกาล 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

บ้านและสวน

สแลนกันแดดแต่ละสีใช้งานแตกต่างกันยังไง 

Published

on

สแลนกันแดด ตาข่ายสารพัดประโยชน์ ที่เราเห็นและนำมาใช้งานกันหลากหลาย และมีหลายสีให้เลือกใช้ แต่เคยสงสัยไหมว่า สแลนแต่ละสีแตกต่างกันยังไง และสแลนสีไหนเหมาะกับการใช้งานอะไร เรามีมาบอก จะได้นำสแลนไปใช้ให้เหมาะสมกับเนื้องานกันค่ะ 

สแลนคืออะไร และ สแลนใช้ทำอะไรได้บ้าง

ตาข่ายกรองแสง หรือ สแลน ภาษาอังกฤษ Shading Net คือ ตาข่ายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการลดความแรงหรือความเข้มข้นของแสงแดด จากการกรองแสง พรางแสง หรือบังแสง ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดนั่นเอง สามารถนำคุณสมบัติของสแลนไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้ในการทำเกษตร คลุมแปลงผัก ทำเป็นหลังคาเรือนเพาะชำ เรือนปลูกผัก เรือนเพาะเห็ด โรงเรือน หลังคากันแดด ล้อมรั้วเลี้ยงสัตว์ บ่อปลา ฟาร์มกุ้ง ดาดฟ้า ป้องกันสิ่งของร่วงหล่น หรือใช้คลุมบริเวณต่าง ๆ ภายในที่อยู่อาศัยให้เกิดความร่มรื่น เป็นต้น 

 

แต่ในการนำสแลนบังแดดไปใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร การใช้งานสแลนแต่ละสีจะแตกต่างกันไป ตามคุณสมบัติการพรางแสงของสแลนที่มีปริมาณเป็นเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 50% , 60% , 70% และ 80% เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า แต่ละสีของสแลนบังแดดช่วยพรางแสงได้เท่าไรบ้าง

สแลนทำจากอะไร 

วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสแลนบังแดด คือ พลาสติกประเภทโพลิเอทิลีน หรือ HDPE (High Density Polyethylene) มีความหนาแน่นสูง และมีคุณสมบัติพิเศษหลากหลายที่เหมาะต่อการนำไปใช้งาน เช่น 

  • แสงผ่านได้น้อย เพราะมีสีขุ่น เหมาะต่อการนำไปใช้เป็นวัตถุป้องกันแสง 
  • มีความเหนียว ยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อการใช้งาน
  • ทนต่อสภาพอากาศและอุณหภูมิ โดยทนความร้อนได้สูงถึง 80 – 100 องศาเซลเซียส และทนต่อความเย็นได้ต่ำกว่าระดับจุดเยือกแข็ง 
  • ทนต่อสารเคมี ทนต่อสภาพความเป็นกรด – ด่าง 
  • สามารถใส่เม็ดสีได้โดยไม่กระทบต่อคุณสมบัติการใช้งาน
  • ป้องกันความชื้นซึมผ่าน กักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี 
  • จำกัดการผ่านของอากาศ จึงเหมาะต่อการใช้ปกป้อง และควบคุมบรรยากาศได้ทั้งจากภายนอก – ภายใน 

สแลนมีกี่ประเภท 

สแลนบังแดดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามกรรมวิธีการผลิต ได้แก่ 

  • สแลนแบบถัก : เป็นสแลนที่ทำจากโพลิเอทิลีนน้ำหนักเบา เหมาะต่อการใช้ในงานเกษตรกรรม ปศุสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และกสิกรรมทุกประเภท 
  • สแลนแบบทอ : สแลนที่เป็นตาข่ายชนิดที่มีน้ำหนัก ทิ้งตัวได้ดี มีความยืดหยุ่น และทนทานต่อการใช้งานสูง นิยมใช้ในการเลี้ยงสัตว์ หรือใช้ในการปลูกสร้าง เนื่องจากมีความหนาแน่นมั่นคง 

 

ความแตกต่างของสแลนแต่ละสี

สแลนบังแดดสีขาว 

สแลนสีขาว เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการแสงมาก แต่ต้องการลดอุณหภูมิ ช่วยลดแรงลม และลดความแรงของเม็ดฝน แต่ปล่อยให้แสงขาวผ่านลงมาได้เต็มที่

 

สแลนบังแดดสีเขียว 

สแลนสีเขียว นิยมใช้เพื่อให้พืชยืดตัวสูงขึ้น ด้วยตัวสแลนช่วยกรองแสง ทำให้แสงที่ลอดผ่านลงมากลายเป็นแสงสีเขียว ซี่งเป็นแสงที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยนั่นเอง 

 

สแลนบังแดดสีน้ำเงิน 

สแลนสีน้ำเงิน นิยมใช้เพื่อให้พืชมีสีใบเข้มขึ้น เพราะแสงแดดที่ลอดผ่านสแลนสีน้ำเงิน จะช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโต ทั้งในส่วนของรากและใบพืชได้ดี 

 

สแลนบังแดดสีแดง 

สแลนสีแดง นิยมใช้สำหรับพืชดอก หรือพืชที่ต้องการเร่งดอก และแสงที่ลอดผ่านจากสแลนสีแดงยังช่วยลดการรบกวนจากแมลงบางชนิดได่อีกด้วย 

 

สแลนกันแดดสีดำ 

สแลนสีดำ ให้ผ่านแสงผ่านน้อย จนแทบจะเรียกว่าใช้สแลนบังแสง ทำให้นิยมใช้เพื่อเป็นการสร้างร่มเงาให้กับพืช เหมาะกับพืชที่ไม่ต้องการแสงเยอะ หรือพืชที่ต้องการแสงรำไร เช่น ต้นไม้ที่เลี้ยงในคอนโด พืชผักริมระเบียง รวมไปถึงต้นกล้าของพืชต่าง ๆ เป็นต้น 

Continue Reading

บ้านและสวน

5 ต้นไม้นิยมเลี้ยงในคอนโด ปลูกง่าย แม้พื้นที่จำกัด 

Published

on

สำหรับชาวคอนโด หรือผู้ที่เช่าห้องพักอาศัย แม้ว่าวิถีชีวิตจะอยู่ในห้องที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็อยากมีต้นไม้สวย ๆ ตกแต่งห้อง สร้างสีสันให้ห้องน่าอยู่มากขึ้น และเป็นปอดฟอกอากาศให้กับชีวิตชาวตึกอย่างเรา ๆ แต่พอพื้นที่จำกัด ชนิดต้นไม่ที่จะปลูกก็ถูกจำกัดตามไปด้วย วันี้เรามีต้นไม้ที่ปลูกง่าย  เหมาะกับชาวคอนโด และมีข้อแนะนำวิธีการดูแล จะได้มีไม้สวย ๆ แต่งห้องไปนาน ๆ 

Dieffenbachia or Dumb cane plant green leaves close-up with copy space

  1. สาวน้อยประแป้ง (Dumb Cane) 

ต้นสาวน้อยประแป้ง พืชอวบน้ำที่เป็นไม้ประดับปลูกได้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร เพราะมีความอดทนสูง เลี้ยงง่าย โดยลักษณะของขอบใบและลำต้นสาวน้อยประแป้งจะมีสีเขียวเข้ม ส่วนกลางใบจะมีสีอ่อนกว่า ส่วนใหญ่จะปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อเพิ่มความสวยงามในบ้าน และ สำนักงานทั่วไป แต่ก็เหมาะกับการปลูกต้นไม้ในคอนโด โดยไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ไม่ว่าจะเป็นในห้อง หรือริมระเบียง แถมยังเป็นไม้มงคล สื่อถึงผู้ปลูกมีอายุยืนยาวอีกด้วย 

 

วิธีการดูแลต้นสาวน้อยประแป้ง : สาวน้อยประแป้งชอบแสงแดดรำไร และการรดน้ำพอชุ่มชื้นกลาง ๆ ไม่น้อยหรือมากไป รดน้ำอย่างน้อยวันละ 1- 2 ครั้ง เพื่อรักษาความชื้นหน้าดิน สามารถปลูกในกระถางได้

  1. กุหลาบหิน หรือ กาลังโช (Kalanchoe)

ต้นกุหลาบหิน คือ ไม้ประดับขนาดจิ๋ว จึงสามารถปลูกได้ทั้งภายในอาคารและนอกอาคาร ไม่ว่าจะปลูกในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว หรือ ปลูกริมระเบียง ต่อให้เป็นห้องที่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างจำกัด ก็สามารถปลูกต้นกุหลาบหิน หรือ ต้นกาลังโชได้สบาย ๆ และเนื่องจากกุหลาบหินเป็นพืชอวบน้ำ จึงแตกหน่อไว เติบโตเร็ว ยิ่งได้รับแสงแดดทั่วถึง ยิ่งขยายพันธ์รวดเร็ว แต่กุหลาบหินจะออกดอกในช่วงเดือน พฤศจิกายน – มีนาคม นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อกันว่า การปลูกต้นกุหลาบหิน ช่วยเสริมดวงด้านการเงิน ให้กับคนปลูก ทำให้เป็นอีกไม้มงคลที่ได้รับความนิยม 

 

วิธีดูแลต้นกุหลาบหิน : ไม่จำเป็นต้องรดน้ำต้นกุหลาบหินบ่อยมากเกินไป รดน้ำเพียงสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ก็เพียงพอ เพื่อป้องกันลำต้นเน่า หากช่วงฤดูฝน หรือมีฝนตกหนัก ไม่ควรปล่อยให้ต้นกุหลาบหินตั้งตากฝน เพราะอาจทำให้มีน้ำขังมากเกินไป รากเน่าและตายได้ จึงควรเก็บไปวางหลบฝนสักหน่อยดีกว่า 

  1. ต้นไผ่กวนอิม (Lucky bamboo) 

ต้นไผ่กวนอิม มีพุ่มขนาดเล็ก แถมยังถูกจัดให้เป็นไม้มงคลเสริมฮวงจุ้ย เพิ่มโชควาสนาให้กับผู้อยู่อาศัย จึงทำให้ไผ่กวนอิมเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกตกแต่งในห้อง หรือสวนริมระเบียงกันมาก แต่ใบไผ่กวนอิมมีพิษหากเคี้ยวกลืนกินลงไป แม้ว่ามีพิษเพียงเล็กน้อย แต่ควรวางต้นไผ่กวนอิมให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง 

 

วิธีดูแลต้นไผ่กวนอิม : วางต้นไผ่กวนอิมให้จุดที่รับแสงแดดไม่จัด ภาชนะที่ใส่ต้นไผ่ควรมีน้ำตลอดเวลา โดยจะต้องเปลี่ยนน้ำทุก ๆ 7 – 10 และควรล้างทำความสะอาดภาชนะที่ใส่ รวมไปถึงก้อนกรวดที่ใส่ประดับต้นไผ่อยู่เสมอ 

  1. แก้วกาญจนา หรือ อโกลนีมา (Aglaonema) 

ต้นแก้วกาญจนา ไม้ร่มขนาดเล็ก ตัวใบมีรูปทรงกลมมนหรือวงรี สามารถปลูกลงกระถางได้ มีฉายาว่าเป็น ราชาแห่งไม้ประดับ เพราะมีสีสันสวยงาม มีสีสันหลากหลาย เช่น สีชมพู สีส้ม สีแดง และสีเหลือง จึงนิยมปลูกประดับเพื่อตกแต่ง และเพิ่มความสวยงามให้กับสถานที่ สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ เพราะมีขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่ เคลื่อนย้ายสะดวก นอกจากนี้ ต้นแก้วกาญจนายังเป็นไม้มงคลที่โดดเด่นด้านโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง แถมยังช่วยดูดซับสารพิษต่าง ๆ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่า ปลูกต้นเดียวจบครบประโยชน์ทุกด้าน เหมาะกับวิถีชีวิตชาวคอนโดสุด ๆ 

 

วิธีดูแลต้นแก้วกาญจนา : ควรปลูกและตั้งไว้ในพื้นที่มีแสงแดดรำไร หรือวางไว้ในห้องที่มีแสงผ่านได้น้อย เพราะต้นแก้วกาญจนาไม่ต้องการแสงแดดมากนัก ส่วนการรดน้ำ เพียง 3 – 4 ครั้ง / สัปดาห์ และระวังอย่าให้มีน้ำท่วมขัง เพราะรากจะเน่าและตายในที่สุด 

  1. ผีเสื้อราตรี หรือ ปีกผีเสื้อ (Oxalis)

ต้นผีเสื้อราตรี เป็นไม้ล้มลุก หาซื้อง่ายได้ตามตลาดทั่วไป ตลาดต้นไม้จตุจักรก็มีขาย ลักษณะใบคล้ายผีเสื้อ มีสีม่วงเข้ม เมื่อมีลมพัด ใบจะปลิวเหมือนผีเสื้อกำลังบิน ทำให้ดูสวยงาม และ ลึกลับ จึงถูกเรียกว่า ต้นปีกผีเสื้อ หรือ ผีเสื้อราตรี (เพราะสีของใบที่ม่วงเข้มค่อนไปทางม่วงคล้ำ) ใครที่ชอบให้ห้องดูมีเสน่ห์ลึกลับ ถือว่าต้นไม้ชนิดนี้ตอบโจทย์แน่นอน 

 

วิธีการดูแลต้นปีกผีเสื้อ : ต้นปีกผีเสื้อเลี้ยงง่าย โตไว แถมยังขยายพันธ์รวดเร็ว ไม่ต้องดูแลมาก เพียงแค่วางในจุดที่มีแสงแดดรำไร อาจวางใกล้ ๆ บริเวณหน้าต่าง ให้โดนแดดสม่ำเสมอ รดน้ำให้ดินชุ่ม ทุก ๆ 3 – 5 วัน แต่อย่ารดน้ำให้แฉะเกินไป เพราะหากน้ำขัง รากจะเน่า และต้นไม้ตายได้ สำหรับฤดูฝน อย่าตั้งตากฝนเพื่อหวังรับน้ำฝนแทนการรดน้ำ เพราะการรับน้ำฝนโดยตรง โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกแรง จะทำให้ลำต้นหักได้ 

Continue Reading

กำลังมาแรง