Connect with us

ไลฟ์สไตล์

ข้อห้ามและข้อควรทำในเทศกาลกินเจมีอะไรบ้าง

Published

on

ใกล้เทศกาลกินเจเข้ามาทุกที โดยปีนี้ เทศกาลกินเจ 2566 ตรงกับวันที่ 15 – 23 ตุลาคม ซึ่งตามปฏิทินจีนจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ – 9 ค่ำ เดือน 9 แต่ตามปฏิทินสากล จะตรงกับเดือน 11 หรือ ตรงกับเดือนตุลาคมของไทย โดยมีระยะเวลาทั้งหมด 9 วันด้วยกัน แต่มีผู้กินเจหลายคนอาจมีการล้างท้องก่อนวันเทศกาลกินเจจริง 1 วัน โดยเริ่มล้างท้องตั้งแต่ตอนเย็น อย่างในปีนี้ การล้างท้องก็อาจจะเริ่มตอนเย็นในวันที่ 14 ตุลาคม ทำให้บางคนกินเจ 10 วัน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ล้างท้องก็กินเจ 9 วัน นั่นเอง เรามาดูกันว่า คนกินเจห้ามกินอะไรบ้าง และเตรียมตัวอย่างไรในเทศกาลกินเจ

Woman putting food on Chinese New Year celebration table, view from above

กินเจห้ามกินอะไร และข้อควรทำสำหรับคนกินเจ 

  1. ห้ามกินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสม ส่วนประกอบ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งจากสัตว์ เช่น ไข่ เลือด ไขมันสัตว์ นม เนย น้ำผึ้ง เป็นต้น 

 

  1. ห้ามกินผักกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง โดยผักกลิ่นฉุน 5 ชนิดที่คนกินเจห้ามกิน ได้แก่ 
  • กระเทียม
  • ผักตระกูลหัวหอม หอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอม 
  • หลักเกียว
  • กุ้ยช่าย
  • ใบยาสูบ

 

  1. ห้ามกินอาหารรสจัด ทั้งรสเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด หรือ เปรี้ยวจัด เพราะอาหารรสจัดจะไปกระตุ้นต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานหนักขึ้น เป็นการเบียดเบียนร่างกาย และส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้รู้สึกไม่สงบ 

 

  1. ห้ามกินอาหารจากคนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจ เพราะคนที่ไม่ได้กินเจ อาจไม่รู้ข้อระเบียบที่เคร่งครัด อาจใช้วัสดุอุปกรณ์ปรุงอาหาร หรือเผลอใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปรุงอาหาร ดังนั้น คนที่กินเจควรไปกินอาหารในสถานที่ ๆ จัดไว้สำหรับอาหารเจโดยเฉพาะ เพราะผู้ปรุงอาหารจะเป็นผู้ที่ถือศีลกินเจด้วยเช่นกัน เช่น โรงทาน หรือ ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่จัดงาน เป็นต้น 

 

  1. ห้ามใช้อุปกรณ์ปรุงอาหาร และวัสดุใส่อาหารปนกับผู้ที่ไม่กินเจ

 

  1. ไม่ฆ่าสัตว์ รังแกหรือทำร้ายสัตว์ทุกรูปแบบ 

 

  1. รักษาศีล 5 หรือ ศีล 8 เพื่อให้ร่างกายและจิตใจสะอาด ถึงพร้อมด้วยการทำบุญ

 

  1. แต่งกายสะอาด สุภาพ โดยแต่งกายด้วยชุดขาวดีที่สุด 

 

  1. ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดยุยง ส่อเสียด ห้ามพูดจาเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสาระ 

 

  1. ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา ในช่วงตลอดระยะเวลาที่กินเจ 9 วัน หรือ 10 วัน 

 

  1. ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง ในสถานที่ศาลเจ้า โรงทาน โรงเจ หรือสถานที่ที่จัดงานถือศีลกินเจ โดยจะมีผู้เฝ้าตะเกียงทั้ง 9 ดวงตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ให้ตะเกียงดับ 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

บ้านและสวน

สแลนกันแดดแต่ละสีใช้งานแตกต่างกันยังไง 

Published

on

สแลนกันแดด ตาข่ายสารพัดประโยชน์ ที่เราเห็นและนำมาใช้งานกันหลากหลาย และมีหลายสีให้เลือกใช้ แต่เคยสงสัยไหมว่า สแลนแต่ละสีแตกต่างกันยังไง และสแลนสีไหนเหมาะกับการใช้งานอะไร เรามีมาบอก จะได้นำสแลนไปใช้ให้เหมาะสมกับเนื้องานกันค่ะ 

สแลนคืออะไร และ สแลนใช้ทำอะไรได้บ้าง

ตาข่ายกรองแสง หรือ สแลน ภาษาอังกฤษ Shading Net คือ ตาข่ายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการลดความแรงหรือความเข้มข้นของแสงแดด จากการกรองแสง พรางแสง หรือบังแสง ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดนั่นเอง สามารถนำคุณสมบัติของสแลนไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้ในการทำเกษตร คลุมแปลงผัก ทำเป็นหลังคาเรือนเพาะชำ เรือนปลูกผัก เรือนเพาะเห็ด โรงเรือน หลังคากันแดด ล้อมรั้วเลี้ยงสัตว์ บ่อปลา ฟาร์มกุ้ง ดาดฟ้า ป้องกันสิ่งของร่วงหล่น หรือใช้คลุมบริเวณต่าง ๆ ภายในที่อยู่อาศัยให้เกิดความร่มรื่น เป็นต้น 

 

แต่ในการนำสแลนบังแดดไปใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร การใช้งานสแลนแต่ละสีจะแตกต่างกันไป ตามคุณสมบัติการพรางแสงของสแลนที่มีปริมาณเป็นเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 50% , 60% , 70% และ 80% เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า แต่ละสีของสแลนบังแดดช่วยพรางแสงได้เท่าไรบ้าง

สแลนทำจากอะไร 

วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสแลนบังแดด คือ พลาสติกประเภทโพลิเอทิลีน หรือ HDPE (High Density Polyethylene) มีความหนาแน่นสูง และมีคุณสมบัติพิเศษหลากหลายที่เหมาะต่อการนำไปใช้งาน เช่น 

  • แสงผ่านได้น้อย เพราะมีสีขุ่น เหมาะต่อการนำไปใช้เป็นวัตถุป้องกันแสง 
  • มีความเหนียว ยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อการใช้งาน
  • ทนต่อสภาพอากาศและอุณหภูมิ โดยทนความร้อนได้สูงถึง 80 – 100 องศาเซลเซียส และทนต่อความเย็นได้ต่ำกว่าระดับจุดเยือกแข็ง 
  • ทนต่อสารเคมี ทนต่อสภาพความเป็นกรด – ด่าง 
  • สามารถใส่เม็ดสีได้โดยไม่กระทบต่อคุณสมบัติการใช้งาน
  • ป้องกันความชื้นซึมผ่าน กักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี 
  • จำกัดการผ่านของอากาศ จึงเหมาะต่อการใช้ปกป้อง และควบคุมบรรยากาศได้ทั้งจากภายนอก – ภายใน 

สแลนมีกี่ประเภท 

สแลนบังแดดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามกรรมวิธีการผลิต ได้แก่ 

  • สแลนแบบถัก : เป็นสแลนที่ทำจากโพลิเอทิลีนน้ำหนักเบา เหมาะต่อการใช้ในงานเกษตรกรรม ปศุสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และกสิกรรมทุกประเภท 
  • สแลนแบบทอ : สแลนที่เป็นตาข่ายชนิดที่มีน้ำหนัก ทิ้งตัวได้ดี มีความยืดหยุ่น และทนทานต่อการใช้งานสูง นิยมใช้ในการเลี้ยงสัตว์ หรือใช้ในการปลูกสร้าง เนื่องจากมีความหนาแน่นมั่นคง 

 

ความแตกต่างของสแลนแต่ละสี

สแลนบังแดดสีขาว 

สแลนสีขาว เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการแสงมาก แต่ต้องการลดอุณหภูมิ ช่วยลดแรงลม และลดความแรงของเม็ดฝน แต่ปล่อยให้แสงขาวผ่านลงมาได้เต็มที่

 

สแลนบังแดดสีเขียว 

สแลนสีเขียว นิยมใช้เพื่อให้พืชยืดตัวสูงขึ้น ด้วยตัวสแลนช่วยกรองแสง ทำให้แสงที่ลอดผ่านลงมากลายเป็นแสงสีเขียว ซี่งเป็นแสงที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยนั่นเอง 

 

สแลนบังแดดสีน้ำเงิน 

สแลนสีน้ำเงิน นิยมใช้เพื่อให้พืชมีสีใบเข้มขึ้น เพราะแสงแดดที่ลอดผ่านสแลนสีน้ำเงิน จะช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโต ทั้งในส่วนของรากและใบพืชได้ดี 

 

สแลนบังแดดสีแดง 

สแลนสีแดง นิยมใช้สำหรับพืชดอก หรือพืชที่ต้องการเร่งดอก และแสงที่ลอดผ่านจากสแลนสีแดงยังช่วยลดการรบกวนจากแมลงบางชนิดได่อีกด้วย 

 

สแลนกันแดดสีดำ 

สแลนสีดำ ให้ผ่านแสงผ่านน้อย จนแทบจะเรียกว่าใช้สแลนบังแสง ทำให้นิยมใช้เพื่อเป็นการสร้างร่มเงาให้กับพืช เหมาะกับพืชที่ไม่ต้องการแสงเยอะ หรือพืชที่ต้องการแสงรำไร เช่น ต้นไม้ที่เลี้ยงในคอนโด พืชผักริมระเบียง รวมไปถึงต้นกล้าของพืชต่าง ๆ เป็นต้น 

Continue Reading

สุขภาพ

ระวัง! หมึกบลูริง สวยอันตราย โดนพิษถึงตาย 

Published

on

หมีกสายวงสีน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง (Blue – ringed Octopus) อยู่ในสายปลาหมึกยักษ์ (Hapalochlaena spp) แต่มีขนาดลำตัวเล็ก จุดเด่นคือลายวงแหวนสีน้ำเงินสะท้อนแสงได้ ซึ่งกระจายอยู่ตามลำตัวและหนวด หมึกบลูริงตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร และหนวดมีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร เคลื่อนที่ด้วยการใช้หนวดเดิน ชอบหลบซ่อนตัวและอาศัยอยู่ตามซอกหินใต้ท้องทะเล สามารถพบได้ในทั้งในทะเลอันดามัน และ ทะเลอ่าวไทย 

ภาพจาก : https://www.forbesadvocate.com.au/story/7570384/can-you-identify-a-potentially-deadly-blue-ringed-octopus/

พิษของหมึกบลูริงร้ายแรงแค่ไหน

หมึกบลูริงเป็นสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก โดยพิษของหมึกบลูริงร้ายแรงกว่างูมีพิษแบบงูเห่าถึง 20 เท่า และรุนแรงกว่างูทะเลอีกด้วย โดยพิษของหมึกบลูริง คือ Maculotoxin (มาคูโลทอกซิน) มีลักษณะคล้ายกับพิษเทโทรโดทอกซิน หรือ Tetrodotoxin เป็นพิษของปลาปักเป้า ออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท ไม่ให้สามารถเคลื่อนไหวได้ ทำให้เหยื่อตายหรือเป็นอัมพาต โดยพิษหมึกบลูริงจะอยู่ที่บริเวณต่อมน้ำลาย (Salivary gland) และพบได้ในปาก หนวด ลำไส้ และต่อมหมึก ดังนั้น การได้รับพิษของหมึกบลูริง เกิดจากการสัมผัส การถูกกัด หรือเผลอกินหมึกบลูริงเข้าไป ต่อให้นำหมึกบลูริงไปผ่านความร้อนหรือปรุงสุก แต่พิษก็ไม่ได้ถูกทำลายหรือสลายไป เพราะพิษหมึกบลูริงสามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ดังน้้น ไม่ควรทานหมึกบลูริงเป็นอาหารเด็ดขาด 

 

เมื่อถูกหมึกบลูริงกัด หรือกินหมึกชนิดเข้าไป เปรียบได้เหมือนกับฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด เพราะพิศจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ผู้ถูกพิษอาจเสียมีอาการแพ้พิษ หรือเสียชีวิตได้ในรายที่รุนแรงภายใน 2-3 นาที ซึ่งเร็วยิ่งกว่าพิษของปลาปักเป้า 

ภาพจาก : https://www.abc.net.au/news/science/2020-12-13/blue-ringed-octopus-bites-and-how-to-avoid-them/12942666

ผู้ที่โดนพิษของหมึกบลูริง มีอาการอย่างไร 

อาการเริ่มแรกของผู้ที่ถูกกัด หรือกินหมึกบลูริงเข้าไป จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า มองเห็นไม่ชัด หรือมองไม่เห็น ปวดศีรษะ ประสาทสัมผัสไม่ทำงาน กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดหรือกลืนน้ำลายไม่ได้ หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน ทำให้ไม่มีอากาศเข้าสู่ปอด จากนั้นจะเป็นอัมพาต และหยุดหายใจเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากได้รับการช่วยเหลือไม่ทัน 

หมึกบลูริงมีพิษร้ายแรง แต่ทำไมจึงมีคนนำมาปรุงเป็นอาหารจำหน่ายจนกลายเป็นข่าว 

ต้องยอมรับว่าตามลักษณะของหมึกบลูริง ที่มีสงแหวนสีน้ำเงินเรืองแสงได้ ประกอบกับขนาดที่เล็ก ทำให้หมึกบลูริง หรือหมึกสายวงน้ำเงิน กลายเป็นที่นิยมของกลุ่มคนผู้ชื่นชอบเลี้ยงปลาสวยงาม รวมไปถึงกลุ่มคนนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ แม้ว่ากรมประมงจะไม่อนุญาตให้นำเข้าหมึกบลูริงเข้าประเทศ แต่ก็ยังมีคนลักลอบนำเข้าเพื่อจำหน่ายหรือเพื่อเลี้ยงดูตามความชอบส่วนตัว อีกทั้งมีหน่วยงานราชการที่เลี้ยงหมึกสกุลนี้ไว้เพื่อการศึกษา จนกระทั่งในต้นปี ค.ศ.2016 ได้พบหมึกบลูริงถูกวางจำหน่ายบนแผงขายอาหารทะเล โดยปะปนมากับหมึกชนิดอื่น ๆ และพบถูกนำมาจำหน่ายในร้านปิ้งย่างที่เพิ่งเป็นข่าวเร็ว ๆ นี้นั่นเอง 

 

รักษาอย่างไรเมื่อได้รับพิษหมึกบลูริง 

ปัจจุบันยังไม่มียารักษา หรือยาต้านพิษหมึกบลูริง หากเผลอกินหรือถูกหมึกบลูริงกัด ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และระหว่างนำตัวส่งแพทย์ อาจใช้วิธีเป่าปาก (หากไม่มีเครื่องช่วยหายใจ) เพื่อนำอากาศเข้าสู่ปอด เพื่อช่วยยื้อเวลาของการขาดออกซิเจน ที่อาจทำให้ผู้ได้รับพิษเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันพิษหมึกบลูริง คือ หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ เพื่อไม่ให้ถูกหมึกบลูริงกัด และห้ามบริโภคอย่างเด็ดขาด โดยก่อนทานอาหารทะเล โดยเฉพาะเมนูปลาหมึก จะต้องสังเกตลักษณะของหมึกให้ดี หากไม่แน่ใจ ก็อย่าไปเสี่ยงเลย รับประทานอาหารชนิดอื่นแทน เพื่อลดโอกาสความเสี่ยงในการได้รับพิษหมึกบลูริงดีกว่าค่ะ 

Continue Reading

เทคโนโลยี

5 Soft Skill ของมนุษย์ ที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้

Published

on

ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันมีการนำระบบ AI มาเป็นเครื่องมือในการใช้งานกันมากขึ้น ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ และแย่งงานของเราไปจนหมด แต่ถึงแม้ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีความเฉลียวฉลาด และมีความสามารถในการทำงานสูง แต่มนุษย์มีสกิลพิเศษที่แม้แต่ AI ยังไม่สามารถเทียบได้ มีอะไรบ้าง มาเช็กกันเลยค่ะ 

ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)

มนุษย์ เป็นสัตว์โลกที่มีทั้งความฉลาดทางปัญญา และ ความฉลาดทางอารมณ์ โดย AI เป็นระบบเครื่องจักรที่ไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจในอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการเข้าถึงจิตวิญญาณได้อย่างลึกซึ้งเท่ากับมนุษย์ เช่น การเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น 

ความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligence)

สังคมที่มีความแตกต่างของวัฒนธรรมและเชื้อชาติของผู้คน นำไปสู่การเรียนรู้ถึงการร่วมอยู่กัน โดยที่มีความคิด ความเชื่อ และประเพณีที่ต่างกัน เป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถเข้าใจและทดแทนได้

ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking Skill) 

มนุษย์มีจินตนการ และความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดและออกแบบไอเดียใหม่ ๆ หรือดัดแปลง ปรับและประยุกต์ได้หลากหลาย ซึ่งเป็นทักษะที่ทุกองค์กรต้องการ และทักษะนี้ AI ยังไมสามารถก้าวข้ามมนุษย์ได้ 

ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill) 

AI คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่มีระบบเทคโนโลยีสูง สามารถรวบรวมและนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้ แต่ ด้านวาทะศิลป์ในการนำเสนอข้อมูล แต่ยังคงสู้มนุษย์ไม่ได้ ในด้านกระบวนความคิด การเรียบเรียงคำพูด การปรับน้ำเสียงให้เหมาะสม การเว้นจังหวะการถ่ายทอดคำที่พอดี ความชัดเจนและถูกต้องในอักขระได้ใจความ

ทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership Skills) 

ระบบ AI มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ในบทบาทที่ต้องมีมนุษย์คอยควบคุม กำกับ และดูแลระบบอยู่ตลอดเวลา ทำให้ AI ยังขาดไหวพริบในการแก้ไขสถานการณ์ หรือปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีความสามารถทำให้คนในทีมสามัคคีกันได้ ดังนั้น AI ยังคงขาดทักษะความเป็นผู้นำ 

แม้ว่า AI จะยังขาด 5 Skill ดังกล่าว จนอาจพูดได้ว่ายังไม่สามารถเข้ามาทดแทนมนุษย์ได้ทั้งหมดในตอนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น หากระบบ AI สามารถพัฒนาระบบได้อย่างก้าวกระโดด หรือมนุษย์เริ่มถดถอยและเสื่อมจากทักษะพิเศษที่มีอยู่ จากที่ AI ไม่สามารถก้าวข้ามมนุษย์ได้ อาจกลายเป็นมนุษย์ที่ต้องถูกโละทิ้งอย่างไม่มีคุณค่า หากหยุดพัฒนาตนและปล่อยให้ทักษะเหล่านี้หายไปจากตัวคุณ 

Continue Reading

กำลังมาแรง